ใครๆก็แก้กฎหมายได้(คุณก็ด้วย)
Bookmark and Share

วันอังคารที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

EFF งง “ไอซีที” ยืดอกเผยรัฐบล็อกเว็บ 16,944 แห่ง

EFF งง "ไอซีที" ยืดอกเผยรัฐบล็อกเว็บ 16,944 แห่ง

เมื่อ 27 .. 52 นายแดนนี่ โอ ไบรอัน (Danny O'Brien) ผู้ประสานงานนานาชาติElectronic Frontier Foundation (EFF) ซึ่งเป็นองค์กรระหว่างประเทศที่ส่งเสริมสิทธิเสรีภาพและการเข้าถึงข้อมูลข่าวสารในโลกออนไลน์แสดงความเห็นหลังจากทราบข้อมูลล่าสุดที่ร้อยตรีหญิงระนองรักษ์สุวรรณฉวีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที)ออกมาเปิดเผยว่าทางกระทรวงดำเนินการกับเว็บไซต์ที่เผยแพร่ข้อมูลไม่เหมาะสมต่างๆแล้วประมาณ16,944 URL 
โดยนายแดนนี่เห็นว่าเป็นเรื่องแปลกที่ รมต.ไอซีทีกล้าออกมาเปิดเผยเช่นนี้เพราะหากเปรียบกับการสร้างถนนมันก็เหมือนรัฐมนตรีออกมาพูดว่าภาครัฐได้ปิดถนนไปแล้วกี่สายแทนที่จะพูดว่ารัฐสร้างถนนเพิ่มกี่สายอันเป็นการสร้างประโยชน์ให้แก่ประชาชน
ทั้งนี้เว็บไซต์ทั้ง16,944 URL ที่ถูกดำเนินการนั้นเป็นเว็บไซต์ที่กระทบด้านความมั่นคง11,000 URL เว็บไซต์ที่เผยแพร่ข้อมูลกระทบด้านสังคมและวัฒนธรรม5,872 URL และเว็บไซต์ที่เผยแพร่ข้อมูลกระทบด้านเศรษฐกิจ72 URL (ข้อมูลจากข่าวประชาสัมพันธ์ของกระทรวงไอซีทีซึ่งไม่ระบุชัดว่าการดำเนินการนั้นมีความหมายว่าอย่างไร) กระทำโดยศูนย์ปฏิบัติการความปลอดภัยอินเทอร์เน็ตหรือInternet Security Operation Center (ISOC) ของกระทรวงไอซีทีซึ่งปัจจุบันมีทั้งหมด4 โครงการคือโครงการพัฒนาระบบการเฝ้าระวังภัยคุกคามและการกระทำความผิดด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารของประเทศโครงการพัฒนาระบบสืบสวนและพิสูจน์หลักฐานทางเทคโนโลยีสารสนเทศโครงการส่งเสริมประสิทธิภาพการบังคับใช้ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์.. 2550 และโครงการบูรณาการการบริหารจัดการล็อกไฟล์ตามมาตรา26 แห่ง...ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์..2550
http://www.prachatai.com/journal/2009/07/25231

ขอเชิญอ่าน blog.Thank you so much.
http://www.sanamluang.bloggang.com
http://tham-manamai.blogspot.com

 
 
 
 
 




ด้วย Windows Live คุณสามารถจัดการ แก้ไข และ แบ่งปันภาพถ่ายของคุณ

วันเสาร์ที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

ชำนาญ พรหมยงค์ บุตรชายคนโตของแช่ม พรหมยงค์ อดีตจุฬาราชมนตรี หนึ่งใน 4 คณะราษฎรที่เป็นชาวมุสลิม


ชำนาญ พรหมยงค์


--
      Weblink
http://ilaw.or.th
www.patani-conference.net
http://www.thaihof.org
http://thainetizen.org
http://www.ictforall.org
http://elibrary.nfe.go.th
http://www.thaisara.com
http://www.rmutr.ac.th
http://www.bedo.or.th/default.aspx
http://weblogcamp2009.blogspot.com
http://seminarmon.blogspot.com
http://seminartue.blogspot.com
http://seminarwed.blogspot.com
http://seminarthu.blogspot.com
http://seminarfri.blogspot.com
http://seminar1951.blogspot.com
http://seminardd.com

คณะกรรมาธิการการที่ดิน ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สภาผู้แทนราษฎร เดินทางศึกษาดูงาน ณ เครือรัฐออสเตรเลีย วันที่ 26 กรกฎาคม - 1 สิงหาคม 2552

 

 

 

 

กมธ.ทรัพยากรธรรมชาติฯ สผ. เตรียมเดินทางศึกษาดูงาน ณ เครือรัฐออสเตรเลีย

23 ก.ค.52 -             ประธานคณะกรรมาธิการการที่ดิน ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สภาผู้แทนราษฎร เตรียมเดินทางศึกษาดูงาน ณ เครือรัฐออสเตรเลีย เพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและศึกษาดูงานเกี่ยวกับแนวทางการบริหารจัดการของเสียในระหว่างวันที่ 26 กรกฎาคม - 1 สิงหาคมนี้

                นายวารุจ ศิริวัฒน์ ประธานคณะกรรมาธิการการที่ดิน ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สภาผู้แทนราษฎร กล่าวถึงเตรียมความพร้อมการเดินทางไปศึกษาดูงานของคณะกรรมาธิการ ณ เครือรัฐออสเตรเลีย ในระหว่างวันที่ 26 กรกฎาคม - 1 สิงหาคม 2552 ว่า การเดินทางครั้งนี้คณะกรรมาธิการมีวัตถุประสงค์เพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและศึกษาดูงานเกี่ยวกับแนวทางการบริหารจัดการของเสีย ณ สถาบัน WSN’s Chullora waste and Recycling Centre รัฐนิวเซาท์เวลส์และศึกษาเปรียบเทียบการดำเนินงานกับสถาบัน Western treatment plant ของรัฐวิกตอเรีย อีกทั้งการเดินทางไปศึกษาดูงานที่เครือรัฐออสเตรเลียในครั้งนี้ คณะกรรมาธิการจะมีโอกาสเยี่ยมชมสวนสัตว์ทารองก้า (Taronga Zoo) เพื่อเยี่ยมชมช้างไทยที่คลอดลูกใหม่ตามโครงการแลกเปลี่ยนกับโคอาลาซึ่งเป็นการร่วมมือกันระหว่างองค์การสวนสัตว์ไทยและออสเตรเลียด้วย

 

 

 

 

 

 

 

 

 



--
      Weblink
http://ilaw.or.th
www.patani-conference.net
http://www.thaihof.org
http://thainetizen.org
http://www.ictforall.org
http://elibrary.nfe.go.th
http://www.thaisara.com
http://www.rmutr.ac.th
http://www.bedo.or.th/default.aspx
http://weblogcamp2009.blogspot.com
http://seminarmon.blogspot.com
http://seminartue.blogspot.com
http://seminarwed.blogspot.com
http://seminarthu.blogspot.com
http://seminarfri.blogspot.com
http://seminar1951.blogspot.com
http://www.moralcenter.or.th
http://seminardd.com

วันพฤหัสบดีที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

จดหมายข่าว pnn 12-18 กรกฎาคม 2552



ขอเชิญอ่าน blog.Thank you so much.
http://www.sanamluang.bloggang.com
http://tham-manamai.blogspot.com
 
 
 
 
 



 




Date: Tue, 21 Jul 2009 11:00:10 +0700
To: 
From: webmaster@newspnn.com
Subject: จดหมายข่าว pnn 12-18 กรกฎาคม 2552


www.newspnn.com
ข่าวประชาสัมพันธ์
เครือข่ายคนรุ่นใหม่ภาคเหนือ จำหน่ายเสื้อระดมทุน

ขอเชิญร่วมการประชุมสัมมนา ''การพัฒนาคลังข้อมูลชาติพันธุ์และการพัฒนา'' วันที่ 29 ก.ค. 2552 เวลา 13.00-16.30 น. ณ ห้องประชุมชั้น 2 อาคาร 3 คณะสังคมศาสตร์ ม.เชียงใหม่

เชิญร่วมเวทีสัมมนาเรื่อง ''สถานการณ์ชายแดนไทย-พม่า: จากประวัติศาสตร์อาณานิคมและความขัดแย้งของกลุ่มชาติพันธุ์สู่การลงทุนของไทยและผลกระทบในพม่า'' วันที่ 23 ก.ค. 2552 เวลา 13.00-17.00 น. ณ ห้องประชุมอาคารปฏิบัติการ ชั้น 4 คณะสังคมศาสตร์ ม.เชียงใหม่

เชิญร่วมสัมมนา เรื่อง ''วิกฤติการเลิกจ้าง วิกฤติแรงงาน วิกฤติเศรษฐกิจการเมืองไทย'' วันที่ 14 ก.ค.2552 ณ ห้องประชุมสมาคมนิสิตเก่า คณะรัฐศาสตร์ จุฬาฯ

จดหมายข่าว PNN 21 กรกฎาคม 2552
 
ทิศทางข่าวรอบสัปดาห์

รวมข่าว/บทความเด่นในรอบสัปดาห์
อนุรักษ์แม่รำพึงแถลงการณ์ นายทุนปั่วหัวชาวบ้านค้านจดทะเบียนพท.ชุ่มน้ำ [20 กรกฎาคม 2552]
ประจวบคีรีขันธ์/อนุรักษ์แม่รำพึงโวย นายทุนป่วนใช้ ซ้ายเก่า ตั้งมวลชนค้านขึ้นทะเบียนพื้นที่ชุมน ...
ปัญหาสวนป่าคอนสาร มรดกบาปการจัดการทรัพยากรป่าไม้ของรัฐไทย [20 กรกฎาคม 2552]
การกระทำของกรมป่าไม้ และองค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ ทำให้ผู้ร้องได้รับความเดือดร้อน ไม่มีที่ดินทำก ...
คปท.แถลงหยุดป้ายสีชาวบ้าน แนะสันติวิธีคือแนวทางแก้ปัญหาสวนป่าคอนสาร  [18 กรกฎาคม 2552]
เพื่อให้การแก้ไขปัญหาเป็นไปด้วยความถูกต้อง เป็นธรรม คปท.จึงขอเรียนต่อบุคคลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้ ...
ปชช.ร้องยุติการใช้ความรุนแรงต่อพี่น้องมุสลิมในซินเจียง! [17 กรกฎาคม 2552]
เชียงใหม่/เครือข่ายประชาชนเรียกร้องใช้สันติภาพในซินเจียง เผยสถานการณ์ยังแย่พี่น้องมุสลิมต้องหนีอ ...
ถึงเวลารัฐบาลต้องคืนพื้นที่สวนป่าคอนสาร ให้ชาวบ้านผู้เป็นเจ้าของที่ดิน [17 กรกฎาคม 2552]
นับเป็นเวลากว่า 33 ปีแล้ว ที่ชาวบ้าน ต.ทุ่งพระ อ.คอนสาร จ.ชัยภูมิ ต้องเดือดร้อนอันเนื่องมาจากการ ...
เครือข่ายแม่น้ำโขงระดมสมองเตรียมแก้วิกฤตน้ำโขง [14 กรกฎาคม 2552]
เชียงราย/เครือข่ายแม่น้ำโขงประชุมใหญ่ ชำแหละการพัฒนาทำน้ำโขงวิกฤต ชุมชนสองฝั่งแม่น้ำเดือดร้อน พั ...
แพทย์ชนบทแนะอย่าเปลี่ยนไข้หวัดใหญ่ 2009 เป็นไข้หวัดใหญ่การเมือง [14 กรกฎาคม 2552]
กรุงเทพฯ/ชมรมแพทย์ชนบทระบุผลพวงโลกาภิวัตน์ทำไข้หวัดใหญ่ 2009 ระบาดทั่วโลก แนะรัฐนำเรื่องนี้เป็นว ...
ชุมชนลุ่มน้ำสาละวินยื่นนายกฯ เบรคเขื่อนฮัจจี [14 กรกฎาคม 2552]
แม่ฮ่องสอน/ชาวบ้านลุ่มน้ำสาละวินยืนยันไม่เอาเขื่อนฮัจจี ชี้ผลกระทบอื้อ ซ้ำ กฟผ.หมกเม็ดไม่เผยข้อม ...
กลุ่มอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมอุดรฯเยือน สคจ.หัวนา-ราษีไศล [14 กรกฎาคม 2552]
ศรีษะเกษ/กลุ่มอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมอุดรธานีเยี่ยมสมัชชาคนจน ณ หมู่บ้านคนจน สันเขื่อนราษีไศล เผยนโย ...



 
หากคุณต้องการยกเลิกการรับจดหมายข่าว  คลิกที่นี่
 

สำนักข่าวประชาธรรม 77/1 หมู่ 5 ต.สุเทพ อ.เมือง จ.เชียงใหม่ 50200
www.newspnn.com
email :newspnn@hotmail.com


แบ่งปันความทรงจำกับคนอื่นๆ ที่คุณต้องการทางออนไลน์ได้ คนอื่นๆ ที่คุณต้องการ

วันพุธที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

"สดศรี"แฉ ส.ว."ล็อบบี้"กกต.ทบทวนคำวินัจฉัยหุ้น "สมชาย"ท้าบอกชื่อคนวิ่งเต้น ปธ.ส.ว.สวนกลับพูดไม่จริง

วันที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2552 เวลา 13:30:19 น.  มติชนออนไลน์

"สดศรี"แฉ ส.ว."ล็อบบี้"กกต.ทบทวนคำวินัจฉัยหุ้น "สมชาย"ท้าบอกชื่อคนวิ่งเต้น ปธ.ส.ว.สวนกลับพูดไม่จริง

"สดศรี"แฉมีส.ว.พยายาม"ล็อบบี้"กกต.ทบทวนคำวินัจฉัยหุ้นสัมปทานรัฐและสื่อ ขณะที่"ส.ว.สมชาย"เชื่อไม่มีใครทำแน่ ท้าให้บอกชื่อคนวิ่งเต้น บอกออกมาพูดแบบนี้ทำให้ ส.ว.เสื่อมเสีย ปธ.สว.สวนกลับพูดไม่จริง ถ้าล็อบบี้ ต้องมาทำกับตน

นางสดศรี สัตยธรรม คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) กล่าวเมื่อวันที่ 22 กรกฎาคมว่า มีวุฒิสมาชิกบางคนในกลุ่ม 16 ส.ว.ที่ถูกคำวินิจฉัยให้สิ้นสภาพ จากกรณีถือหุ้นบริษัทที่ได้รับสัมปทานรัฐ อาศัยช่วงที่ประธานวุฒิสภายังไม่ส่งคำวินิจฉัยของ กกต.ไปยังศาลรัฐธรรมนูญ พยายามวิ่งเต้นล็อบบี้ให้ กกต.ทบทวนคำวินิจฉัยดังกล่าวอีกครั้ง


นางสดศรี กล่าวว่า กกต.ได้แจ้งกลับไปแล้วว่า จะไม่มีการทบทวนคำวินิจฉัยดังกล่าวอีกแล้ว และหากต้องการจะให้ทบทวน ก็ควรจะนำหลักฐานไปต่อสู้ในชั้นการพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญมากกว่า เพราะในส่วนของ กกต.นั้นถือว่าได้ทำงานจบกระบวนการแล้ว


ส่วนการที่ประธานวุฒิสภายังไม่ส่งคำวินิจฉัยของ กกต.ไปยังศาลรัฐธรรมนูญ โดยอ้างว่าต้องการตรวจสอบเอกสารให้ถูกต้อง ภายหลังพบว่ามีเอกสารเกินมา 5 แผ่นนั้น นางสดศรี กล่าวว่า ควรจะต้องเป็นหน้าที่ของผู้ที่ร้อง คือนายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ ที่ควรจะไปดำเนินการร้องเรียนการทำงานของประธานวุฒิสภาฐานละเว้นการปฎิบัติหน้าที่มากกว่า


นางสดศรี ยังได้ยืนยันว่า กกต.จะยังคงใช้มาตรฐานเดิมที่ใช้ในการพิจารณากรณี 16 ส.ว.และ 13 ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ มาใช้ในการพิจารณากรณี 44 ส.ส.แน่นอน และเชื่อว่าการเข้ามาทำหน้าที่ กกต.คนใหม่ของนายวิสุทธิ์ โพธิแท่น จะไม่ทำให้มาตราฐานดังกล่าวเปลี่ยนแปลงได้แน่นอน เพราะการวินิจฉันเดิมได้ผูกพันทั้ง 3 กกต.ไปแล้ว เพราะฉะนั้นไม่ว่านายวิสุทธิ์ จะอยู่ในกลุ่ม 3 หรือ 1 ก็ไม่ทำให้การวินิจฉัยเปลี่ยนแปลงไปได้


วันเดียวกัน ที่รัฐสภา นายสมชาย แสวงการ ส.ว.สรรหา 1 ใน 16 ส.ว.ที่ถูกกกต.วินิจฉัยให้ขาดคุณสมบัติเนื่องจากถือหุ้นในธุรกิจสื่อหรือบริษัทที่รับสัมปทานจากรัฐ กล่าวถึงกรณีดังกล่าวว่า เรื่องนี้ไม่ใช่ตนแต่นอน และไม่เชื่อว่า จะมีใครใน ส.ว.ทำแบบนี้ เพราะการวินิจฉัยของกกต.ถือเป็นอำนาจตามกฎหมาย ไม่มีใครจะวิ่งเต้นเพื่อเปลี่ยนมติได้ การที่นางสดศรี อ้างแบบนี้ทำให้เกิดความเสียหายกับส.ว. จึงขอให้เปิดเผยชื่อออกมาว่า ใครทำ เพราะ

 

"ตอนนี้ ส.ว.ก็เป็นจำเลยสังคมไปแล้วทั้งที่ศาลรัฐธรรมนูญยังไม่ได้วินิจฉัยชี้ขาด ทั้งนี้ ตอนนี้ 16 ส.ว.กำลังเตรียมการชี้แจงในชั้นศาลรัฐธรรมนูญในประเด็น เจตนารมณ์ของกฎหมาย การได้หุ้นมาก่อนรับตำแหน่ง และจำนวนหุ้นที่มีน้อยมากซึ่งไม่สามารถแทรกแซงได้ และกำลังพิจารณาช่องทางร้องไปยังศาลปกครองขอความเป็นธรรมในการวินิจฉัยของกกต.ด้วย" นายสมชาย กล่าว

 

ขณะที่ นายประสพสุข บุญเดช ประธานวุฒิสภา แถลงตอบโต้นางสดศรีว่า เรื่องการล็อบบี้ไม่เป็นความจริง เพราะขณะนี้คำวินิจฉัยของกกต.ยังอยู่ในความรับผิดชอบของตน และไม่มีใครขอให้ตนส่งคำวินิจฉัยดังกล่าวกลับไปยังกกต.เพื่อให้ทบทวน หากจะล็อบบี้ ต้องมาล็อบบี้ตน แต่ที่ไม่ผ่านไม่มีใครมาล็อบบี้ตน หากล็อบบี้จริง ตนคงไม่สามารถส่งกลับไปยังกกต.ได้ เพราะถือว่าข้อเท็จจริงที่ว่า ส.ว.เหล่านั้นถือหุ้นในสัมปทานของรัฐและสื่อยุติแล้ว เหลือเพียงข้อกฎหมายที่ต้องศาลรัฐธรรมนูญเป็นผู้วินิจฉัย

 

"เมื่อกกต.ส่งคำวินิจฉัยมาแล้วไม่มีวันที่จะทบทวนคำวินิจฉัยได้อีกแล้ว คงไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้อีกแล้ว คงต้องปล่อยไปตามกระบวนการและตอนนี้เจ้าหน้าที่ก็ได้คัดสำนวนให้ ส.ว.ทั้ง 16 คนไปศึกษาแล้ว โดยแต่ละสำนวนมีความหนาถึง 3 พันกว่าหน้า ดังนั้น ส.ว.ทั้ง16 คนก็คงต้องใช้เวลาศึกษาสำนวนเพื่อต่อสู้ในชั้นศาลรัฐธรรมนูญต่อไป ผมไม่เชื่อว่า ส.ว.ใน16 คนนี้จะล็อบบี้เพื่อให้ทบทวนคำวินิจฉัยและถ้าให้ทบทวนคำวินิจฉัยคนที่ไม่ถูกตัดสินให้สมาชิกภาพก็จะลำบาก แต่ก็ไม่รู้ว่านางสดศรีเอาข้อมูลมาจากไหน" นายประสพสุข กล่าว

 

ส่วนกรณีที่ ส.ว.บางส่วนยื่นร้องต่อศาลปกครองนั้น ประธานวุฒิสภา กล่าวว่า ส่วนตัวไม่อยากให้ไปร้องศาลปกครอง เพราะอยากให้กระบวนการไปจบที่ศาลรัฐธรรมนูญ ทั้งนี้ทราบว่าใน ส.ว.16 คนนี้คงไม่ยื่นร้องไปยังศาลปกครองทั้งหมด หากเรื่องถึงศาลรัฐธรรมนูญแล้วก็มีความเป็นไปได้ที่ศาลรัฐธรรมนูญจะเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยกับคำวินิจฉัยของ กกต. เพราะการวินิจฉัยถือเป็นเรื่องดุลพินิจและความเห็นทางกฎหมายสามารถแตกต่างกันได้ ทั้งนี้ไม่คิดว่าหากคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญไม่ตรงกับกกต.ก็ไม่เห็นว่ากกต.ต้องลาออก เพราะถือเป็นอำนาจของกกต.ที่มีคำวินิจฉัยตามหน้าที่ แต่ถ้าเป็นคำวินิจฉัยไม่สุจริตก็ต้องถือเป็นความผิด อย่างไรก็ตามคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญต้องถือเป็นที่สุด 



 อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง
  • "วิสุทธิ์"เริ่มงานกกต.วันแรก ยันปฏิบัติหน้าที่ยึดกฎหมาย
  • "ป๋าเหนาะ"ดักคอดุลพินิจ กกต.ฟัน"หุ้นส.ส." โจรลอยลำ ประเทศอยู่ลำบาก ไม่รู้สึกกดดัน"สุเทพ"ไขก็อก
  • "สุเทพ"ไม่หนักใจถูกเชือดพร้อม12ส.ส.ปชป.ย้ำไม่กระเทือน รบ."ไตรรงค์" ซัด กกต.ไม่มีความรู้หุ้น
  • กกต.เชือด13ส.ส.ปชป.ถือหุ้น"สุเทพ-ไตรรงค์-จุติ"งานเข้า "กษิต"รอดเมียถือหุ้นกู้บ.ทางด่วนไม่ขัด
  • http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1248230699&grpid=04&catid=01

    --
    ขอเชิญอ่าน blog.Thank you so much.
    http://www.sanamluang.bloggang.com
    http://tham-manamai.blogspot.com
    http://lifeanddeath2mcu.blogspot.com
    http://www.parent-youth.net
    http://www.tzuchithailand.org
    http://www.presscouncil.or.th
    http://ilaw.or.th
    www.patani-conference.net
    http://www.thaihof.org
    http://thainetizen.org
    http://www.ictforall.org
    http://elibrary.nfe.go.th
    http://dbd-52.hi5.com
    http://www.thaisara.com
    http://www.rmutr.ac.th
    http://www.bedo.or.th/default.aspx
    www.chula.ac.th/visitors/thai/calendar.htm

    "ลับแล, แก่งคอย": เรื่องเล่าว่าด้วยประวัติศาสตร์ของสามัญชนและการเมืองแห่งสุนทรียะ


    วันที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2552 เวลา 22:00:58 น.  มติชนออนไลน์

    "ลับแล, แก่งคอย": เรื่องเล่าว่าด้วยประวัติศาสตร์ของสามัญชนและการเมืองแห่งสุนทรียะ

    โดย "บ๊อบบี้" และ "แบทแมน"

    "ลับแล, แก่งคอย" คือผลงานนวนิยายของ "อุทิศ เหมะมูล" ซึ่งเพิ่งได้รับการถูกเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลวรรณกรรมสร้างสรรค์แห่งอาเซียน (ซีไรต์) ประจำปี พ.ศ.2552 แต่หากใครมีโอกาสได้อ่านนวนิยายความยาว 444 หน้าเล่มนี้จบลง ก็คงพบว่าเนื้อหาของหนังสือนั้นมีความน่าสนใจกว่าเครดิตการเข้าชิงรางวัลหรือการอาจได้รับรางวัลในอนาคตมากมายนัก


    นวนิยายเล่มนี้บอกเล่าเรื่องราวชีวิต 3 ชั่วอายุคน นับจากช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เรื่อยมาจนถึงกลางทศวรรษ 2530 ของสามัญชนครอบครัวหนึ่ง ซึ่งมีชีวิตทั้งในด้านถูก-ผิด ดี-เลว สว่าง-มืด อย่างกลมกลึงไม่แบนราบเฉกเช่นชีวิตของมหาบุรุษผู้สูงส่ง


    เรื่องราวของบรรดาตัวละครใน "ลับแล, แก่งคอย" ไม่ใช่เรื่องราวของกลุ่มคนที่เป็นชนชั้นนำของสังคมหรือแม้กระทั่งชนชั้นกลางในเมืองใหญ่ ที่ประสบความสำเร็จในชีวิต แต่เป็นเรื่องราวที่สามารถพบเห็นได้ในชีวิตของสามัญชนจำนวนมากในสังคมไทย เพราะเป็นเรื่องราวซึ่งวนเวียนอยู่กับครอบครัวที่มีหัวหน้าครอบครัว/พ่อเป็นคนเชื้อสายจีนที่ไม่สามารถไต่เต้าขึ้นไปมีสถานะเป็นเจ้าสัวผู้ยิ่งใหญ่ระดับประเทศหรือระดับท้องถิ่นได้ ทว่าเป็นเพียงผู้ใช้แรงงานที่ขยับตนเองจากการเป็นแรงงานภาคเกษตรในภาคเหนือตอนล่างมาสู่การเป็นแรงงานภาคอุตสาหกรรมในจังหวัดสระบุรี ขณะที่ฝ่ายแม่ก็เป็นหญิงชาวอีสานที่อ่านหนังสือไม่ออก บ้าหวย และเชื่อผี ซึ่งเดินทางมาแสวงหาชีวิตที่ดีกว่าในสระบุรีก่อนจะย้อนกลับไปยังอีสานอีกครั้งหนึ่ง


    เส้นทางเดินใน 3 ชั่วอายุคนของครอบครัวหลักในนวนิยายเล่มนี้ได้พานพบทั้งแง่มุมเลวร้ายและแง่มุมงดงามของชีวิต จนเราสามารถกล่าวได้ว่านี่เป็น "ประวัติศาสตร์" ของสามัญชนกลุ่มเล็ก ๆ ประวัติศาสตร์ที่เป็น "เรื่องเล่า" เรื่องหนึ่งอันเปรียบเสมือนส่วนเสี้ยวเล็กน้อยที่ถูกประกอบเข้าไปในประวัติศาสตร์สังคมไทยในภาพใหญ่ ซึ่งมิอาจถูกยึดกุมด้วย "เรื่องเล่าหลักเรื่องเดียวเรื่องเดิม" ที่มีสถานะเป็นดังสัจจะสูงสุดจริงแท้ได้อีกต่อไปในยุคปัจจุบัน


    อย่างไรก็ตาม อุทิศไม่ได้พยายามกล่าวอ้างว่า "เรื่องเล่า" ว่าด้วยประวัติศาสตร์ของสามัญชนในนวนิยายของเขามีสถานะเป็น "ความจริงแท้" หรือ "สัจจะ" แต่อย่างใด ทว่าเรื่องเล่าดังกล่าวกลับมีสถานะเป็นสิ่งที่ถูกสร้างเสริมเติมแต่งขึ้นมา ดังจะเห็นได้จากภาคที่สองของนวนิยายที่มีชื่อว่า "ประวัติศาสตร์ที่เริ่มสร้าง" (ซึ่งชวนให้นึกถึงชื่อของหนังสือว่าด้วยประวัติศาสตร์การเมืองไทยสมัยใหม่ที่มีความสำคัญมากที่สุดเล่มหนึ่ง) และเมื่อเรื่องราวของ "ลับแล, แก่งคอย" ดำเนินไปเรื่อย ๆ ก็ปรากฏว่า "เรื่องเล่า"ที่ถูกเล่าโดยตัวเอกในนวนิยาย/ลูกชายของครอบครัว กลับถูกปะปนด้วย "เรื่องลวง" เป็นจำนวนมากเสียด้วยซ้ำไป


    ราวกับจะเป็นการบอกว่า "ประวัติศาสตร์"ทั้งหลายล้วนเป็น "เรื่องเล่า" ที่ถูกสร้างขึ้นมาทั้งนั้น โดย "เรื่องเล่า" แต่ละเรื่องอาจมีความจริงและความลวงดำรงอยู่อย่างปะปนกันไป แต่ไม่มี "เรื่องเล่า" ใดที่จะมีสถานะเป็นความจริงแท้สูงสุด


    ถ้า "เรื่องเล่า" จริง ๆ ลวง ๆ จำนวนมากมายกำลังปะทะสังสรรค์กันอยู่ในพื้นที่ของสังคมสมัยใหม่ ก็เป็นไปได้ว่าสัจจะความจริง ความถูก-ผิด หรือหลักจริยธรรม น่าจะไม่ใช่มาตรวัดที่ใช้ตัดสินปัญหาต่าง ๆ ในสังคมได้อย่างทรงประสิทธิภาพสูงสุดอีกต่อไป สิ่งที่อุทิศพยายามเสนอในลับแล, แก่งคอย ก็คือ เราอาจต้องพึ่งพามาตรวัดอื่น ๆ เช่น "ความงาม" ในกรณีของนวนิยายเรื่องนี้ มาใช้วินิจฉัยหรือทำความเข้าใจกับปัญหาต่าง ๆ ในสังคม เพราะหากพิจารณาให้ดีแล้ว เรื่องเล่าลวง ๆ คงไม่ได้หมายถึงความผิดเท่านั้น ทว่าหมายถึงความงามที่ถูกผู้เล่าเรื่องสร้างสรรค์ปั้นแต่งขึ้นมาด้วย


    เนื่องจาก "ความงาม" คือ หลักเกณฑ์ทางสุนทรียศาสตร์ที่ถูกสร้างขึ้นมาตามรสนิยมอันแตกต่างหลากหลายของปัจเจกบุคคลแต่ละคนหรือกลุ่มคนแต่ละกลุ่ม ดังนั้น สำหรับโลกยุคปัจจุบันที่ความถูก-ผิดไม่สามารถจะถูกตัดสินได้อย่างง่ายดายอีกต่อไป  "ความงาม" อันหลากหลายเหล่านั้นจึงกลายเป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยให้ผู้คนที่มีรสนิยมและความเชื่อต่างกันสามารถเข้ามาปะทะสังสรรค์แลกเปลี่ยนความเห็นกันได้ โดยมี "ความงาม" เป็นสื่อกลาง อย่างปราศจากการพยายามจะหักโค่นล้มทำลายฝ่ายตรงข้ามที่ถูกตัดสินว่าเป็นผู้มีความผิดโดยสิ้นเชิง


    คล้ายอุทิศกำลังบอกเราผ่านนวนิยายของเขาว่า การจัดการกับความแตกต่างหลากหลายในปัจจุบันอาจต้องพึ่งพา "การเมืองแห่งสุนทรียะ" ยิ่งกว่าการเมืองแห่งสัจจะหรือจริยธรรม/จริยศาสตร์ เห็นได้ชัดจากคำโปรยก่อนขึ้นแต่ละภาค (บท) ของ "ลับแล, แก่งคอย" ที่อุทิศอ้างอิงมาจากข้อความของวรรณกรรมมีชื่อระดับนานาชาติ ซึ่งเป็น "เรื่องเล่า" หลากหลายเรื่องราวที่ถูกสร้างสรรค์ขึ้นให้มีความงดงาม (หรือเป็นสุนทรียะที่ถูกสร้างขึ้น) อันสวนทางอย่างสิ้นเชิงกับ "ประชาธิปไตยบนเส้นขนาน" นวนิยายรางวัลซีไรต์ของวินทร์ เลียววาริณ ที่ผู้เขียนมักจะอ้างอิงหลักธรรมคำสอนทางพุทธศาสนาขึ้นมานำหน้าแต่ละบทของนวนิยาย กระทั่งดูเหมือนว่าการต่อสู้ทางการเมืองที่เป็นเนื้อหาหลักของนวนิยายเล่มดังกล่าว ช่างเป็นสิ่งที่สกปรกผิดบาปเสียเหลือเกินหากเปรียบเทียบกับหลักธรรมคำสอนเหล่านั้น ซึ่งเป็นดังหลักยึดเหนี่ยวที่มีสถานะเป็นสัจจะหรือความดีสูงสุด


    ทั้งนี้ ความเชื่อในเรื่องการเมืองแห่งสุนทรียะที่ปรากฏในนวนิยายเล่มนี้ก็ไม่ได้ดำเนินไปเพื่อมุ่งมั่นจะหักล้างทำลายการเมืองที่ยึดมั่นในสัจจะหรือความดีสูงสุด เพียงแต่ประกาศตัวขึ้นมาท้าทาย เพราะพื้นที่ในสังคมสมัยใหม่ได้เปิดโอกาสให้แนวคิดเหล่านี้สามารถปะทะสังสรรค์กันได้ ไม่ใช่ให้ฝ่ายหนึ่งมุ่งทำลายล้างอีกฝ่าย เห็นได้จากการที่ตัวเอกของเรื่องผู้เสนอว่า ความลวงอาจไม่ใช่ความผิด หากแต่คือความงาม ก็ยังคงนับถือหลวงพ่อพระป่าผู้ยึดมั่นในสัจจะสูงสุด เป็น "ครู" คนแรกของเขา แม้ต่อมาเขาจะได้พบปะกับ "ครู" หรือองค์ความรู้อื่น ๆ อันแตกต่างหลากหลายที่ทำให้เขาได้เข้าใจแง่ลวงอันงดงามของชีวิตก็ตาม


    ตัวเอกของ "ลับแล, แก่งคอย" ที่เป็นผู้เล่า "เรื่องเล่า"ของสามัญชนที่ถูกสร้าง/แต่ง/เขียนขึ้นอย่างจริง ๆ ลวง ๆ ดี ๆ เลว ๆ เพื่อนำมาปะทะสังสรรค์กับ "เรื่องเล่า" แบบอื่น ๆ  (และอาจรวมถึง "เรื่องเล่าหลัก" ของสังคม) จึงไม่ได้พยายามเอ่ยอ้างว่าตนเองยึดโยงอยู่กับความจริงกว่า ถูกต้องกว่า และมีจริยธรรมหรือคุณธรรมมากกว่า ทว่าเขากำลังสร้างประดิษฐกรรมที่มีความงดงามออกมา แล้วพยายามท้าทายผู้สร้าง "เรื่องเล่า" อื่น ๆ ว่าให้มาปะทะแข่งขันกันโดยมี "ความงาม" เป็นมาตรวัด/หลักเกณฑ์/ตัวกลางสำคัญ


    หากคิดตามบทสรุปของ "ลับแล, แก่งคอย" หลักคิดที่เชื่อในเรื่อง  "ความจริง ความดี ความงาม" อาจยังคงดำรงอยู่ ทว่าคงมิได้มีสถานะเป็นสัจจะสูงสุดเพียงหนึ่งเดียวของโลกสมัยใหม่ที่เต็มไปด้วยความซับซ้อนหลากหลายอีกต่อไป เพราะอย่างน้อยหลักคิดดังกล่าวก็ยังถูกยั่วล้อท้าทายอย่างย้อนแย้งโดยความเชื่อใน "ความลวง ความดี ๆ เลว ๆ และความงาม" ที่ปรากฏอยู่ในนวนิยายเล่มนี้


    นี่อาจเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่ผู้สร้างผลงานวรรณกรรมยุคใหม่ พยายามหยิบยื่นให้แก่สังคมไทยร่วมสมัยซึ่งกำลังเผชิญหน้าอยู่กับปัญหาซับซ้อนหลากหลายรายรอบด้าน


    http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1248266361&grpid=01&catid=08
    --
    ขอเชิญอ่าน blog.Thank you so much.
    http://www.sanamluang.bloggang.com
    http://tham-manamai.blogspot.com
    http://lifeanddeath2mcu.blogspot.com
    http://www.parent-youth.net
    http://www.tzuchithailand.org
    http://www.presscouncil.or.th
    http://ilaw.or.th
    www.patani-conference.net
    http://www.thaihof.org
    http://thainetizen.org
    http://www.ictforall.org
    http://elibrary.nfe.go.th
    http://dbd-52.hi5.com
    http://www.thaisara.com
    http://www.rmutr.ac.th
    http://www.bedo.or.th/default.aspx
    www.chula.ac.th/visitors/thai/calendar.htm

    องค์กรอิสระ-องค์กรวุฒิสภา ประสานเสียง "ต่างคีย์" หรือมีผลประโยชน์ "ทับซ้อน"

    วันที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2552 ปีที่ 32 ฉบับที่ 11456 มติชนรายวัน


    องค์กรอิสระ-องค์กรวุฒิสภา ประสานเสียง "ต่างคีย์" หรือมีผลประโยชน์ "ทับซ้อน"





    มีเสียงชื่นชม "สุเทพ เทือกสุบรรณ" รองนายกรัฐมนตรี ด้านความมั่นคง และเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ ที่วันนี้กลายเป็น อดีต ส.ส.สุราษฎร์ธานี เขต 1 แล้ว จากการลาออกตำแหน่งเพราะมติของคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.)

    กกต.เสียงข้างมากชี้ว่า นายสุเทพ และคณะ ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ อีก 12 คน ขาดคุณสมบัติการเป็น ส.ส.ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 48 ประกอบมาตรา 265 (2) (4) เนื่องจากถือครองหุ้นในบริษัทสัมปทานรัฐและกิจการสื่อสารมวลชน

    เป็นความประหลาดใจในเบื้องแรก ที่คนระดับ "ผู้จัดการรัฐบาล" ด่วนตัดสินใจลาออกไป จน "อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ" นายกรัฐมนตรี ต้องรีบออกมาสกัด 12 ส.ส.ปชป.ไม่ให้ลาออกตาม

    แต่เบื้องถัดมาก็ถึงบางอ้อ เมื่อมีเสียงลือ เสียงเล่าอ้างว่า "ธานี เทือกสุบรรณ" อดีตนายก อบจ.สุราษฎร์ธานี น้องชายสุดที่รักของนายสุเทพอีกคนหนึ่ง จะมาเป็นว่าที่ "แคนดิเดต" ที่พรรคจะส่งลงสมัครรับเลือกตั้งแทนตำแหน่ง ส.ส.เขต 1 ที่ว่างลง

    แม้จะยังไม่มี "มติพรรค" แต่จะมีสมาชิก ปชป.คนอื่นๆ ในพื้น กล้ายกมือเสนอตัวแข่งบารมี "เทือกสุบรรณ" หรือ

    นั่นจึงเป็นที่มาของการกล่าวหาของฝ่ายค้านว่า "สุเทพ" ตัดสินใจครั้งนี้ ไม่ต่างจากยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว เพราะสามารถ "อุ้มน้องชาย" นั่งเก้าอี้ ส.ส.สมใจ

    ขณะเดียวกันก็ทำให้ "ภาพลักษณ์" ของตนเองดีขึ้นทันใด ..!?!

    ภาพที่ฉายซ้อนเหตุการณ์ที่ "สุเทพ" เล่นบทที่ตัวเองเขียนขึ้น และสามารถ "ตีบทแตก" จนได้รับการแซ่ซ้องจากประชาชนว่าเป็นนักการเมืองน้ำดี-มีคุณธรรมสูงนั้น ไม่ต้องพูดถึงว่า กกต.ผู้เล่นบท "มือเชือด" จะต้องแบกรับอารมณ์ของสังคมไทยหนักหน่วงขนาดไหน

    ต้องยอมรับว่ามีทั้งผู้ที่เห็นด้วยกับการ "ตีความตามตัวบท" อย่างเคร่งครัดของ กกต.อยู่ไม่น้อย แต่ขณะเดียวเสียงก่นด่าก็มีอยู่จำนวนไม่น้อย เพราะเกรงว่าการวินิจฉัยครั้งนี้อาจจะเป็น "ต้นเหตุ" ให้คนไทยต้องเสียค่าโง่ประชาธิปไตยอีกรอบ เพราะจะต้องละลายเงินภาษีไปกับการจัดการเลือกตั้งซ่อมที่ "มีความน่าจะเป็น" ว่าจะได้ "ส.ส.หน้าเดิม" กลับเข้าสภา ??

    แต่หากยึดหลักการที่ว่า บ้านเมืองจะอยู่ได้ กฎหมายต้องมีสภาพบังคับ ในฐานะที่องค์กรอิสระอย่าง กกต. ที่มีองค์ประกอบของบุคลากรที่มาจากอดีตผู้พิพากษาศาลฎีกา 3 คน และอดีตรองอัยการสูงสุด คงไม่อาจปฏิเสธ "ภาวะบีบคั้น" ที่มาจากกฎหมายแม่บทดังกล่าวได้

    กฎหมายต้องมีสภาพบังคับ หากบังคับใช้ไม่ได้ก็อย่ามีเสียดีกว่า ...และบ้านเมืองก็เดินเข้าสู่ "กลียุค"

    และกรณีนี้คงทำให้นักศึกษากฎหมายงงงวยกับการ "ตีความตามตัวบท" ของ กกต.น้อยที่สุด

    แต่สุดท้ายบุคคลที่ "ถูกตั้งคำถาม" ในเรื่องท่าทีและเจตนามากที่สุดของเรื่อง กลับมีชื่อ "ประสพสุข บุญเดช" ประธานวุฒิสภา นำลิ่วเข้าป้าย ??

    ปฏิกิริยาที่ "ประสพสุข" เด้งรับเผือกร้อน กรณี กกต.เคยวินิจฉัยให้ 16 ส.ว.ต้องพ้นจากตำแหน่ง เพราะขาดคุณสมบัติในทำนองเดียวกันกับ 13 ส.ส.ประชาธิปัตย์นั้น ประหนึ่งว่า "ไม่ยินดี" จะเร่งรัดการขับเคลื่อนงานต่อจาก กกต.สักเท่าไหร่

    จนเกิดเสียงสะท้อนจากอาคารรัฐสภา 2 สถานที่ทำงานของวุฒิสภาว่า "ประธาน (กำลัง) หาเสียง" ด้วยยื้อเวลาส่งศาลรัฐธรรมนูญ ทั้งติติง "สำนวน" ของ กกต.ว่าไม่เรียบร้อย บ่นว่าเอกสารจำนวนมาก คงทำให้การ "คัดสำเนา" ให้ 16 ส.ว.เป็นไปอย่างล่าช้า

    และหากเทียบเรื่อง ส.ว.ปราจีนบุรี ที่ขาดคุณสมบัติ และ กกต.ส่งเรื่องมาให้ประธานวุฒิสภาส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญนั้น จากดองเค็มมาหลายเดือน เพิ่งได้ฤกษ์ส่งศาลวันที่ 24 กรกฎาคมนี้ ฉะนั้น เห็นทีว่ากรณี 16 ส.ว.คงเป็นหนังสือเรื่องยาวของสภาสูง

    "ประสพสุข" เคยประกาศกลางมวลหมู่สมาชิกและสื่อมวลชนที่โบนันซ่า เขาใหญ่ ว่าจะลงจากเก้าอี้ในเดือนเมษายน 2553 โดยไม่ได้ปิดประตูตายที่จะ "เสนอตัว" ให้เพื่อน ส.ว.เลือกกลับเข้ามาเป็นประธานวุฒิสภาอีกรอบหนึ่ง ??

    การเอื้ออาทรพวกพ้องเดียวกัน ถือเป็นธรรมชาติของผู้คนในสังคมอุปภัมภ์

    เพียงแต่บางครั้งบางคราและผู้คนในบางสถานะ เมื่อสวม "หัวโขน" รับหน้าที่เป็นเสาหลักของสังคม ก็หนีไม่พ้นที่จะต้องทำให้ "เกิดดุล" ระหว่างผลประโยชน์ส่วนตัว และผลประโยชย์ส่วนรวม โดยความสมดุลดังว่านั้น จะต้องมีผลประโยชน์ของส่วนรวมเป็นธงคำตอบ

    "สุเทพ" ถูกตั้งข้อกังขาเรื่อง "มูลเหตุแท้จริง" ของการตัดสินใจลาออก

    กกต.ถูกตั้งคำถามเรื่องการใช้ดุลพินิจในการทำหน้าที่

    "ประสพสุข" ถูกเพ่งเล็งเรื่องท่าทีการรับไม้ต่อจาก กกต. ทั้งๆ ที่พูดเองว่าเป็นแค่ "นายไปรษณีย์" และไม่รู้แน่ชัดว่าคำตอบสุดท้ายของศาลรัฐธรรมนูญจะออกหัวหรือก้อย

    หรือสังคมไทยเป็นสังคมที่อุดมไปด้วยปมปัญหา "ผลประโยชน์ทับซ้อน" จริงๆ จนเป็นเหตุต้องให้มีการตรากฎหมายออกมาสกัดกั้น ขณะที่ "กรรมเป็นเครื่องชี้เจตนา" อยู่นั่นเอง !!

    หน้า 3

    "ลุงยงค์"ทิ้งปธ.คกก.ผู้นำชุมชน เปิดอกถูกจำกัดบทบาท



    วันที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2552 เวลา 19:58:51 น.  มติชนออนไลน์

    "ลุงยงค์"ทิ้งปธ.คกก.ผู้นำชุมชน เปิดอกถูกจำกัดบทบาท

    รายงานข่าวจากทำเนียบรัฐบาลแจ้งว่า คณะกรรมการผู้นำชุมชนแห่งชาติ ที่ตั้งขึ้นปลายปี 2548 มีปัญหาในการทำงานมานาน ล่าสุด นายประยงค์ รณรงค์ ประธานกรรมการ ได้ยื่นหนังสือขอยุติการปฏิบัติหน้าที่ต่อนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี แล้วเมื่อวันที่ 10 กรกฎาคม 2552 ให้เหตุผลว่า ทำงานมาแล้ว 4 ปี จึงขออนุญาตยุติบทบาทตั้งแต่วันที่ 14 กรกฎาคม 2552 และสมควรอย่างยิ่งที่จะคัดเลือกกรรมการชุดใหม่ต่อไป สำหรับสาเหตุการลาออกเนื่องจากคณะกรรมการถูกจำกัดบทบาทจากรัฐบาลมาเป็นเวลานาน ไม่มีการกำหนดบทบาทที่ชัดเจน ทำให้หลายเรื่องที่ศึกษาแนะนำไป ไม่ถูกนำเสนอถึงมือนายกฯ นอกจากนี้ยังติดปัญหาข้อกฎหมายรองรับการทำงาน อย่างไรก็ตาม นายประยงค์ยังคงเป็นประธานสภาผู้นำชุมชนแห่งชาติ รวมถึงยังช่วยงานชุมชนเข้มแข็งของรัฐบาลที่อยู่ในความรับผิดชอบของคุณหญิงสุพัตรา มาศดิตถ์ ที่ปรึกษานายกฯอยู่

    http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1248263947&grpid=03&catid=01

       

    --
    ขอเชิญอ่าน  blog.Thank you so much.
    http://www.sanamluang.bloggang.com
    http://tham-manamai.blogspot.com
    http://lifeanddeath2mcu.blogspot.com
    http://www.thaiyogainstitute.com
    http://www.thaihof.org
    http://www.parent-youth.net
    http://www.tzuchithailand.org
    http://www.presscouncil.or.th
    http://thainetizen.org
    http://www.ictforall.org
    http://dbd-52.hi5.com

    หมอดูจับตาสุริยุปราคาฟันธง ดวงพม่าตกต่ำอาจขัดแย้ง

    วันที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2552 เวลา 17:39:35 น.  มติชนออนไลน์

    หมอดูจับตาสุริยุปราคาฟันธง ดวงพม่าตกต่ำอาจขัดแย้ง

    หมอดูขึ้นชื่อไทยใหญ่ถือฤกษ์เหตุการณ์สุริยุปราคาทำนายดวงเมืองระบุ ดวงรัฐบาลทหารพม่าอยู่ขั้นตกต่ำอาจเกิดความวุ่นวายภายใน ขณะที่กลุ่มต่อต้านจะมีกำลังสนับสนุนเข้มแข็งมากขึ้น

     

    เมื่อวันที่ 22 กรกฎาคม สำนักข่าวฉาน รายงานว่า หลังเหตุการณ์ปรากฏการณ์สุริยุปราคาเต็มดวง ที่ผู้คนทั่วโลกต่างให้ความสนใจเฝ้าดูผ่านพ้นไปได้ไม่นาน นายเมืองดี หมอดูขึ้นชื่อของไทยใหญ่ได้กล่าวกับสำนักข่าวฉานว่า ช่วงเกิดปรากฏการณ์สุริยุปราคานั้น ตนเกิดนึกได้และได้ถือเอาเลขดวงรัฐบาลทหารพม่ามาคำนวนตามหลักทฤษฎีตำราโหรศาสตร์ที่ตนใช้เพื่อทำนายทายทักดวงชะตาพม่าและรวมถึงชะตากลุ่มต่อต้าน


    โดยหมอดูเมืองดี กล่าวว่า ผลจากการคำนวณตามตำราที่ใช้ ซึ่งเป็นตำราของไทยใหญ่ประเภททำนายด้วยยาม 5 ทิศ เป็นตำราที่ใช้กันมากในบรรดาโหราศาสตร์ไทยใหญ่นั้น ปรากฎว่าในช่วงเวลา 6.00 - 8.30 น.ของวันพุทธนี้ ได้ผลลัพธ์ออกมาคือ ดวงของรัฐบาลทหารพม่าที่ถือเอาเลข 5 วันพฤหัสบดี เลข 3 วันอังคาร และเลข 1 วันอาทิตย์เป็นเลขมงคลนั้น เลข 1 วันอาทิตย์ ได้ตกอยู่ในช่องทิศใต้ หมายถึงความมืดมิด และเลข 3 คือวันอังคารตกอยู่ในช่องกลาง อันหมายถึงตกอยู่ในหม้อกะทะ เหลือเพียงเลข 5 คือวันพฤหัสบดีที่ตกอยู่ในช่องที่พอจะดีอยู่ และดวงเลข 1 อันหมายถึงดวงอาทิตย์ได้ถูกดวงจันทร์บดบังจนมืดมิดจากปรากฏการณ์สุริยุปราคา


    ทั้งนี้ หมอดูเมืองดี ระบุว่า หากอ่านคำนวณตามตำราแล้วหมายความว่าดวงของรัฐบาลทหารพม่าขณะนี้อยู่ในขั้นตกต่ำและอ่อนแอสุด ซึ่งอาจจะเกิดความวุ่นวายรวมถึงอาจเกิดความขัดแย้งในกองทัพพม่าครั้งใหญ่


    พร้อมกันนั้น หมอดูคนดังกล่าวยังได้ทำนายทายทักถึงดวงชะตากลุ่มต่อต้านรัฐบาลทหารพม่าด้วย โดยระบุว่ากลุ่มต่อต้านทั้งกลุ่มการเมืองและกลุ่มติดอาวุธจะได้รับการสนับสนุนไปทางที่ดีขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มไทยใหญ่ เนื่องด้วยเลขมงคลของไทยใหญ่คือ 2 วันอังคาร อันหมายถึงเสือ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของไทยใหญ่ และ 7 เป็นเลขชื่อไทยใหญ่ตามลำดับอักษรไทยใหญ่คือ ต๊ะ (ไตย) ซึ่งเลข 2 และ 7 ตกอยู่ช่องทิศเหนือ หมายถึงช่องแห่งชัยชนะ และปรากฏการณ์สุริยุปราคา อันเกิดจากดวงจันทร์เคลื่อนบดบังดวงอาทิตย์ก็เปรียบเสมือนไทยใหญ่กดทับพม่า เนื่องจากดวงจันทร์เป็นอีกหนึ่งดวงของไทยใหญ่และเป็นสัญลักษณ์ที่ถูกตราไว้ตรงกลางผืนธงประจำชาติ ส่วนดวงอาทิตย์เป็นเลข 1 วันอาทิตย์ซึ่งเป็นเลขมงคลของพม่า


    จากการถามว่าทางรัฐบาลพม่าอาจใช้วิธีอย่างไรเพื่อแก้เคล็ดดวงของเขาให้ดีขึ้นนั้น หมอดูคนดังกล่าวตอบว่า การแก้เคล็ดหรือการสะเดาะเคราะห์นั้นพม่าค่อนข้างชำนาญ เพราะผู้นำรัฐบาลทหารพม่าให้ความสำคัญและเชื่อเกี่ยวกับดวงชะตามาก ซึ่งอาจเป็นไปได้ว่ารัฐบาลทหารพม่าได้เริ่มจัดพิธีสะเดาะเคราะห์และแก้เคล็ดมาตั้งแต่เกิดเหตุเจดีย์ ตะนก พังถล่มแล้ว เพราะเจดีย์เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ผู้นำในรัฐบาลทหารให้เคารพนับถือและถือเป็นสัญลักษณ์ของพม่า

     

    เมื่อวันที่ 30 พ.ค. 2552 ที่า ในพม่าได้เกิดเหตุเจดีย์ ตะนก ซึ่งเป็นเจดีย์ศักดิ์สิทธิ์สูง 35 เมตรตั้งอยู่ทางตอนใต้กรุงย่างกุ้งเกิดพังถล่มไม่ทราบสาเหตุ ขณะกำลังมีการบูรณะโดยเจ้าหน้าที่ทหารเรือ ส่งผลให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บเสียชีวิตนับสิบคน ซึ่งการพังถล่มของเจดีย์ดังกล่าวเกิดขึ้นเพียง 2 วัน หลังจาก นางไจ่งไจ่ง ศรีภรรยาของพลเอกตาน ฉ่วย ผู้นำรัฐบาลทหารพม่าไปทำพิธีบวงสรวงและยกยอดฉัตรขององค์พระเจดีย์  ทั้งนี้ โหราจารย์ผู้เชี่ยวชาญในพม่าต่างระบุว่า การพังทลายขององค์พระเจดีย์เก่าแก่ เสมือนเป็นลางร้ายที่เตือนล่วงหน้าว่า คณะปกครองทหารอาจจะต้องสูญเสียอำนาจทั้งอาจมีการเปลี่ยนแปลงในพม่าเร็วขึ้น
    http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1248259226&grpid=03&catid=06

    --
    ขอเชิญอ่าน  blog.Thank you so much.
    http://www.sanamluang.bloggang.com
    http://tham-manamai.blogspot.com
    http://lifeanddeath2mcu.blogspot.com
    http://www.thaiyogainstitute.com
    http://www.thaihof.org
    http://www.parent-youth.net
    http://www.tzuchithailand.org
    http://www.presscouncil.or.th
    http://thainetizen.org
    http://www.ictforall.org
    http://dbd-52.hi5.com

    วันอาทิตย์ที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

    "สุริยคราส"กินเมือง โหรทายกระทบดวง ผู้นำ ปกครอง ชี้ชะตาอายุรบ. พระสวดใหญ่แก้




    วันที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2552 เวลา 16:53:34 น.  มติชนออนไลน์

    "สุริยคราส"กินเมือง โหรทายกระทบดวง ผู้นำ ปกครอง ชี้ชะตาอายุรบ. พระสวดใหญ่แก้

    เกิด"สุริยุปราคา" 22 ก.ค.กระทบดวงเมือง ดวงจันทร์บดบังดวงอาทิตย์มากที่สุดถึงร้อยละ 69 นักดาราศาสตร์ระบุเป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติเท่านั้น โหรทำนาย กระทบทาง การเมือง การปกครอง ผู้นำ ขัดแย้งรุนแรง ชีวิตผู้คนมากมาย

    เมื่อวันที่ 13  กรกฎาคม นายบุญรักษา สุนทรธรรม ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือสดร.  กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี(วท.) กล่าวว่า ในวันที่ 22 กรกฎาคมนี้ จะเกิดปรากฏการณ์สุริยุปราคาหรือสุริยคลาส เต็มดวง ในช่วงเวลาประมาณ 07.00 - 09.19 น. โดยมี แนวคราสเต็มดวงพาดผ่านประเทศอินเดีย จีน ญี่ปุ่น และมหาสมุทรแปซิฟิคใต้ และเป็นสุริยุปราคาเต็มดวงที่กินเวลานานที่สุดในศตวรรษที่ 21 คือ 6 นาที 39 วินาทีหรือประมาณเกือบ 7 นาที สำหรับประเทศไทยนั้น อยู่นอกแนวคราสเต็มดวง แต่จะเห็นเป็นสุริยุปราคาบางส่วน โดยสามารถ มองเห็นได้ทุกภูมิภาคของไทย เริ่มตั้งแต่เวลาประมาณ 07.00-09.20 น. ซึ่งแต่ละภูมิภาคจะเห็นปรากฏการณ์สุริยคลาสเกิดขึ้นในเวลาแตกต่างกันเล็กน้อย โดยภาคเหนือที่ จ. เชียงราย จะได้เห็นปรากฏการณ์สุริยุปราคา นานที่สุดในไทย ราว 2 ชั่วโมง 12 นาที และ ยังเห็นดวงจันทร์บดบังดวงอาทิตย์มากที่สุดถึงร้อยละ 69  ขณะที่ในพื้นที่ กรุงเทพมหานคร จะเริ่มสังเกตเป็นปรากฏการณ์สุริยุปราคา ครั้งนี้ ได้ตั้งแต่เวลาประมาณ 07.06 จนถึง 09.08 น. โดยจะเห็นดวงอาทิตย์ถูกบดบังมากที่สุดราวร้อยละ  42.2 ในเวลาประมาณ 08.03 น.

     

    นายบุญรักษา กล่าวอีกว่า การเกิดปรากฎการณ์สุริยุปราคาหรือสุริยคลาสครั้งนี้  ถือเป็นสุริยุปราคาเต็มดวง เหมือนที่เคยเกิดขึ้นในประเทศไทย ในปี 2538 หรือประมาณ 14 ปีที่ผ่านมา ทั้งนี้ ในวันดังกล่าวสถาบันวิจัยดาราศาสตร์ จะติดตั้งกล้องดูดาวหลายสิบตัวที่วงเวียน 22 กรกฎา ย่านเยาวราช เพื่อให้สอดคล้องกับวันที่เกิดสุริยคลาส คือ วันที่ 22 ก.ค. พร้อมระดมนักดาราศาสตร์ทั่วประเทศมาให้ความรู้กับประชาชนที่สามารถมาชมปรากฎการณ์ดังกล่าวได้ในช่วงเวลาเกิดสุริยคลาส  อย่างไรก็ตาม อยากฝากย้ำเรื่องการนำปรากฏการณ์ดังกล่าวไปเชื่อมโยงกับเหตุบ้านการเมือง ลางร้ายว่า ไม่เกี่ยวข้องกัน สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติ ซึ่งทุกปีเกิดขึ้นอยู่แล้ว  เพียงแต่ประเทศไหนจะเห็นเท่านั้น


    ด้านนายภิญโญ พงศ์เจริญ นายกสมาคมโหรศาสตร์นานาชาติ กล่าวถึงผลกระทบการเกิดสุริยุปราคาว่า การเกิดสุริยุปราคาครั้งนี้ เกิดในราศีกรกฎ ธาตุน้ำ จะส่งผลกระทบทางการเมือง การปกครอง ผู้นำ พิจารณาจากราศีเกิดคือกรกฎเป็นจรราศี ก่อให้เกิดผลอย่างรวดเร็วและผ่านไปอย่างรวดเร็วเช่นกัน นอกจากนี้ยังส่งผลให้เกิดกับต่างประเทศนำความยุ่งยากให้กับรัฐบาล ตลอดจนเรื่องผลผลิตทางการเกษตร ทำให้เกิดการผันแปรสำคัญทางการเมือง การค้า จะได้รับผลกระทบ เนื่องจากราศีกรกฎอยู่ในธาตุน้ำ จะเกิดอุทกภัย อุบัติเหตุเกี่ยวกับน้ำมีคนตาย เรืออัปปาง มีความยุ่งยากทางน่านน้ำอาณาเขต อาชีพเกี่ยวกับน้ำ การประมง โรคระบาดที่มากับน้ำ อีกทั้งราศีกรกฎเป็นภพที่ 4 ของดวงเมือง เมื่อเกิดสุริยุปราคาแล้วจะทำให้เกิดความยุ่งยากกับผู้ปกครองหรือรัฐบาล สวัสดิภาพของประชาชนจะได้รับความเดือดร้อน มีความขัดแย้งทางความคิดเกิดขึ้นอย่างรุนแรง


    นายกสมาคมโหรศาสตร์นานาชาติ กล่าวว่า ที่สำคัญดวงเมือง มีดาวจันทร์อยู่ราศีกรกฎดวงเดิม อาจจะทำให้เกิดการสูญเสียบุคคลสำคัญระดับสูง หรือ สตรีผู้สูงศักดิ์ที่ประชาชนเคารพนับถือ นอกจากนี้การเกิดสุริยุปราคานี้อยู่ในราชาฤกษ์ให้ระวังผู้ใหญ่ในบ้านเมืองเจ็บป่วยหรือเกิดปัญหาอุปสรรค อีกทั้งสุริยุปราคาเกิดตอนตรียางค์ที่ 1 ทำให้เกิดความปั่นป่วนดินฟ้าอากาศป่วนแปร เพราะฉะนั้นควรจะระวังในเรื่องอุบัติภัย เพราะหลังจากเกิดสุริยุปราคาแล้ว มักจะตามด้วยภัยพิบัติที่เกิดจากน้ำ แผ่นดินไหว หรือวันที่ดาวอังคารเข้าราศีกรกฎในวันที่ 2 – 3 - 4 ต.ค.52 นี้จะเกิดอุบัติภัยทางธรรมชาติที่รุนแรง อยากเตือนรัฐบาลว่า ในช่วงปลายเดือน ก.ค.ถึงต้นเดือน ต.ค.นี้จะเกิดอับัติภัยครั้งใหญ่ อาจจะทำให้เกิดการสูญเสียบุคคลสำคัญที่ประชาชนเคารพนับถือ และนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ซึ่งในราศีกรกฎควรจะต้องดูแลเรื่องสุขภาพ และความปลอดภัย เช่นเดียวกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ซึ่งเกิดในราศีเดียวกันจะต้องให้ความสำคัญในเรื่องดังกล่าวนี้ด้วย นอกจากนี้รัฐบาลชุดนี้จะอยู่ได้ต่อไปอีกจนถึงเดือน ต.ค.นี้อาจจะมีการเปลี่ยนแปลง


    ขณะที่พระเทพภาวนาวิกรมหรือเจ้าคุณธงชัย ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดไตรมิตรวิทยาราม กล่าวว่า ในวันที่ 22 กรกฎาคมซึ่งจะเกิดสุริยคลาส ในปฎิทินหลวง ระบุชัดเจนว่าจะเกิดอุปราคาในช่วงเวลา 6 นาฬิกา 58 นาที 3 วินาทีและจะสิ้นสุดในเวลา 12 นาฬิกา 12 นาที 4 วินาที ซึ่งในทางโหราศาสตร์จะส่งผลกระทบต่อบ้านเมือง ชีวิตผู้คนมากมาย ดังนั้น วัดไตรมิตรฯ จะจัดพิธีสวดมนต์ครั้งใหญ่ โดยจะระดมพระสงฆ์หลายร้อยรูปมาร่วมสวดมนต์ใน 3 พิธี คือ สวดมหาสมัย ซึ่งเป็นการสวดชุมนุมเทวดาทั้งหมดในจักรวาล สวดมหาราช หรือ สวดถวายท้าวจตุโลกบาลทั้ง 4 ทิศ เพื่อให้รักษาชีวิตมนุษย์และสวดนพเคราะห์ โดยจะเริ่มพิธีในเวลา 6 นาฬิกา 58 นาที ที่พระอุโบสถวัดไตรมิตรวิทยาราม

    http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1247479222&grpid=10&catid=01
    --
    ขอเชิญอ่าน blog.Thank you so much.
    http://www.sanamluang.bloggang.com
    http://tham-manamai.blogspot.com
    http://lifeanddeath2mcu.blogspot.com
    http://www.parent-youth.net
    http://www.tzuchithailand.org
    http://www.presscouncil.or.th
    http://ilaw.or.th
    www.patani-conference.net
    http://www.thaihof.org
    http://thainetizen.org
    http://www.ictforall.org
    http://elibrary.nfe.go.th
    http://dbd-52.hi5.com
    http://www.thaisara.com
    http://www.rmutr.ac.th

    อันตรายของ"สื่อ"ร่วมมือ"รัฐ" สร้าง"ความเชื่อ"ให้เป็น"ความจริง"


    วันที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2552 ปีที่ 32 ฉบับที่ 11454 มติชนรายวัน


    อันตรายของ"สื่อ"ร่วมมือ"รัฐ" สร้าง"ความเชื่อ"ให้เป็น"ความจริง"


    คอลัมน์ สยามประเทศไทย

    โดย สุจิตต์ วงษ์เทศ




    "สื่อต้องก้าวออกจากความเชื่อมาสู่ความจริง เพื่อทำหน้าที่ส่งต่อความจริงสู่สังคมให้มากที่สุด-สื่อต้องมีความกล้าหาญทางจริยธรรม เห็นแก่ความจริงมากกว่าความเชื่อ" (ว. วชิรเมธี)

    อ้างอยู่ในบทความเรื่องหัวใจของสื่อต้องไม่คับแคบ โดย ดร. วิลาสินี พิพิธกุล (คอลัมน์เสียงสตรี ใน โพสต์ ทูเดย์ ฉบับวันจันทร์ที่ 13 กรกฎาคม 2552 หน้า C4) แล้วยังอ้างอีกว่า

    "นักข่าวเองเป็นผู้มีส่วนประกอบสร้างและยกระดับให้ความเชื่อขยายกว้างจนถูกทำให้กลายเป็นความจริง" (สัตยา สีวรมัน นักข่าวอาวุโสชาวอินเดีย)

    ข้อความที่ยกมาล้วนมุ่งแก้ไขความขัดแย้งรุนแรงทางการเมืองที่สื่อมีส่วนกระตุ้นทั้งโดยตั้งใจและไม่ตั้งใจ

    แต่ผมชอบจะยกมาใช้งานด้านสังคมวัฒนธรรม ที่สื่อเห็นแก่ความเชื่อมากกว่าความจริง แล้วยกระดับให้ความเชื่อกลายเป็นความจริง เช่น ความเป็นไทยแท้แต่โบราณมีจริง เริ่มจากยุคสุโขทัย เป็นต้น

    ปฏิเสธไมได้เลยว่า "คนชั้นกลาง" ผู้เคยผูกขาดพื้นที่ทางการเมืองมาหลายทศวรรษ กำลังถูกท้าทายจาก "คนชั้นล่าง" ซึ่งเริ่มมีจิตสำนึกทางชนชั้น ความขัดแย้งระหว่างชนชั้นจึงอุบัติขึ้นอย่างยากจะหลีกเลี่ยง

    จากหมายเหตุดังกล่าว รุดเร่งให้ นิธิ เอียวศรีวงศ์ นักวิชาการผู้คร่ำหวอดการเมืองไทยประณามความคิดในการล้มล้างความแตกต่างด้วยอคติและความรุนแรง พร้อมตั้งคำถามถึงความตื่นตัวของคนทุกระดับ

    โดยเฉพาะคนชั้นกลางระดับล่าง อันเป็นเสมือนภาพรวมในอนาคตของการเมืองยุคใหม่ ทั้งยังทำนายปรากฏการณ์ทางสังคมในอีกไม่กี่ปีข้างหน้าอีกด้วย



    ความเป็นไทยแท้ๆแต่โบราณหรือยุคไหนๆก็ไม่มีจริง และไม่ได้เริ่มต้นยุคสุโขทัย เพราะสุโขทัยไม่ใช่ราชธานีแห่งแรกของไทย

    แท้จริงแล้วความเป็นไทยมีขึ้นจากการประสมประสานทางชาติพันธุ์และวัฒนธรรมในสุวรรณภูมิและอุษาคเนย์ แล้วสมมุติเรียกว่า "ไทย" เมื่อหลัง พ.ศ.1600 ลงมา แต่มีหลักฐานแน่นอนในยุคกรุงศรีอยุธยาราวหลัง พ.ศ.2000

    ฉะนั้น ทั้งชวา-มลายู, มอญ-เขมร, ม้ง-เย้า, มาเลย์-จาม, และลาว ล้วนมีส่วนเป็นบรรพชน "คนไทย" และเป็นต้นเค้าความเป็นไทยทุกวันนี้

    นอกจากสุโขทัยจะไม่ใช่ราชธานีแห่งแรกของไทยแล้ว รัฐสุโขทัยยังเป็นรัฐขนาดเล็ก มีดินแดนใต้สุดอยู่แค่เมืองพระบาง จ. นครสวรรค์ เท่านั้น ไม่เคยมีอำนาจลงไปถึงปัตตานี-มลายู อย่างที่สื่อชอบโมเมตามความเชื่อผิดๆที่รัฐป้อนให้ แล้วผลิตซ้ำให้กลายเป็นความจริง

    ส่งผลให้คนทั่วไปสนับสนุนการแก้ปัญหาภาคใต้ด้วยการเพิ่มกำลังทหารลงไปปราบปรามเด็ดขาด แล้วมองข้ามความสำคัญของชุมชนท้องถิ่น ดังหมอประเวศ วะสี ทักท้วงว่า

    "ไม่เห็นด้วยกับแนวทางการแก้ปัญหาภาคใต้ของรัฐบาลในขณะนี้ ที่เมื่อเกิดเหตุการณ์ความรุนแรงในพื้นที่ รัฐบาลก็จะส่งรัฐมนตรีและเพิ่มกำลังทหารลงไปในพื้นที่ ซึ่งคิดว่าเป็นแนวทางที่ไม่ถูกต้อง วิธีเช่นนี้เป็นการแก้ปัญหาแบบไม่เข้าใจในวิถีชุมชนของชาว 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้

    การแก้ปัญหาด้วยกำลังและอำนาจเป็นแนวทางไม่ถูกต้อง รัฐบาลควรจะใช้ยุทธศาสตร์ชุมชนท้องถิ่น ส่งเสริมให้ชาวบ้านรวมตัวกันแก้ไขปัญหาของตนเอง โดยตั้งเป็นสภาผู้นำชุมชนมาบริหารจัดการชุมชนตนเอง จะเป็นการแก้ปัญหาที่ดีในการเปิดพื้นที่ให้ประชาชนได้ร่วมกันแสดงความคิดเห็น" (มติชน ฉบับวันเสาร์ที่ 27 มิถุนายน 2552 หน้า 22)

    ฉะนั้น ที่กระทรวงวัฒนธรรมจัดงานมหกรรมวัฒนธรรมปัตตานีย้อนยุคสู่สันติสุขแดนใต้ แล้วเชิญสื่อไปดูด้วยเพื่อขอให้เสนอข่าวกิจกรรมความเชื่อของรัฐบาลให้เป็นความจริง จึงเป็นผลเสียมากกว่าผลดี เสมือนคำโบราณว่า "ตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ" แล้ว "ขี่ช้างจับตั๊กแตน"

    พราะทั้งกระทรวงฯและสื่อต่างมีความเชื่อไปในทางเดียวกันว่า ดินแดนรัฐปัตตานีเป็นของรัฐสุโขทัย โดยพวกมลายูปัตตานีมาพึ่งพระบรมโพธิสมภารพระเจ้าแผ่นดินรัฐสุโขทัย ทั้งๆ ไม่จริง

    เรื่องจริงตามพยานหลักฐานคือรัฐปัตตานีมีพัฒนาการก่อนรัฐสุโขทัยเกือบพันปี ครั้นมีรัฐสุโขทัยแล้วรัฐปัตตานีก็ยังเป็นเอกเทศมาตลอดเวลายาวนานมาก จนถูกโจมตีแล้วยึดครองโดยกรุงรัตนโกสินทร์เมื่อราว 200 ปีที่แล้ว

    หน้า 21

    http://www.matichon.co.th/matichon/view_news.php?newsid=01pra03200752&sectionid=0131&day=2009-07-20
    --
    ขอเชิญอ่าน blog.Thank you so much.
    http://www.sanamluang.bloggang.com
    http://tham-manamai.blogspot.com
    http://lifeanddeath2mcu.blogspot.com
    http://www.parent-youth.net
    http://www.tzuchithailand.org
    http://www.presscouncil.or.th
    http://ilaw.or.th
    www.patani-conference.net
    http://www.thaihof.org
    http://thainetizen.org
    http://www.ictforall.org
    http://elibrary.nfe.go.th
    http://dbd-52.hi5.com
    http://www.thaisara.com
    http://www.rmutr.ac.th

    เอกสารสรุปการสัมมนา "การเมืองต้องนำการทหาร : ทิศทางแก้ปัญหาภาคใต้สู่ความยั่งยืน"

    เอกสารสรุปการสัมมนา "การเมืองต้องนำการทหาร : ทิศทางแก้ปัญหาภาคใต้สู่ความยั่งยืน"
    โดย : สำนักสันติวิธีและธรรมาภิบาล สถาบันพระปกเกล้า  เมื่อ : 17/07/2009 09:55 AM
                         
    http://www.thaingo.org/writer/view.php?id=1270
    --
    ขอเชิญอ่าน blog.Thank you so much.
    http://www.sanamluang.bloggang.com
    http://tham-manamai.blogspot.com
    http://lifeanddeath2mcu.blogspot.com
    http://www.parent-youth.net
    http://www.tzuchithailand.org
    http://www.presscouncil.or.th
    http://ilaw.or.th
    www.patani-conference.net
    http://www.thaihof.org
    http://thainetizen.org
    http://www.ictforall.org
    http://elibrary.nfe.go.th
    http://dbd-52.hi5.com
    http://www.thaisara.com
    http://www.rmutr.ac.th

    ร่วมกันฉลอง "ปฏิวัติฝรั่งเศส" วันที่ 14 กรกฎาคม ค.ศ. 1789

    ร่วมกันฉลอง "ปฏิวัติฝรั่งเศส" วันที่ 14 กรกฎาคม ค.ศ. 1789
    โดย : ใจ อึ๊งภากรณ์  เมื่อ : 14/07/2009 12:27 PM
    วันที่ 14 กรกฎาคม ปี ค.ศ. 1789 เป็นวันที่ประชาชนปารีสในฝรั่งเศส ลุกฮือยึดคุกบาสเตียล์ ซึ่งเป็นสัญญลักษณ์ของความป่าเถื่อนของระบบยุติธรรมภายใต้รัฐบาล กษัตริย์หลุยส์ที่ 16 ในช่วงต่อมาจนถึงปัจจุบัน วันยึดคุกบาสเตียล์กลายเป็นวันที่เฉลิมฉลองกันทั่วฝรั่งเศส มีงานปาร์ตี้จุดดอกไม้ไฟเต้นรำฟังเพลงกันในทุกเมืองทุกหมู่บ้าน

    สาเหตุที่มีการยึดคุกบาสเตียล์ในปี 1789 ไม่ใช่เพื่อปล่อยนักโทษไม่กี่คนที่ยังติดคุกอยู่ แต่สาเหตุหลักคือ นอกจากมันเป็นคุกแล้วมันยังเป็นคลังอาวุธด้วย ประชาชนคนยากคนจนในปารีสได้เริ่มกระบวนการปฏิวัติฝรั่งเศส ด้วยการยึดอาวุธจากรัฐบาลกษัตริย์นั้นเอง

    การปฏิวัติฝรั่งเศส เป็นการปฏิวัติอันยิ่งใหญ่ของชนชั้นนายทุนต่อระบบกษัตริย์และขุนนาง นับเป็นครั้งที่สาม ที่มีการปฏิวัติใหญ่หลังการปฏิวัติในอังกฤษ/ฮอลแลนด์ ที่เปิดทางให้ทุนนิยมเข้ามาในโลก และการปฏิวัติในอเมริกาต่อเจ้าอาณานิคมอังกฤษ การปฏิวัติฝรั่งเศสเป็นผลของการสะสมความไม่พอใจของประชาชนเกือบทุกระดับ รัฐบาลกษัตริย์หลุยส์ที่ 16 มีวิกฤตเศรษฐกิจและต้องการขึ้นภาษีกับนายทุนและคนจน ในขณะที่ตนเองเสพสุข นอกจากนี้รัฐบาลพยายามกีดกันการมีส่วนร่วมของประชาชนในระบบการเมือง โดยมีสภาขุนนางและสภาพระศาสนาคริสต์ ที่คอยกีดกันความต้องการของพลเมือง

    หลังจากที่มีการยึดคุกบาสตียล์ มีการประกาศหลักสิทธิมนุษยชน มีการใช้ธงสามสี แดง ขาว น้ำเงิน เพื่อเป็นสัญลักษณ์ของ เสรีภาพ ความเท่าเทียม และความสมานฉันท์ (ไม่ใช่ ชาติ ศาสนา กษัตริย์!!) และท่ามกลางกระแสปฏิวัติมีการเชิดชูความเป็นมนุษย์ แทนที่จะบูชาพระเจ้า ถือได้ว่าเป็นก้าวสำคัญของการชูคำขวัญที่เคารพความเป็นพลเมือง เพราะในยุคอดีตผู้ปกครองในระบบกษัตริย์มักมองว่าประชาชนเป็นแค่ไพร่ ทาส หรือสัตว์ที่ต้องมอบคลานต่อกษัตริย์และพระเจ้า

    พลังในการขับเคลื่อนการปฏิวัติฝรั่งเศสมาจากพลเมืองข้างล่าง ผู้นำจากชนชั้นนายทุนผู้มั่งมี เช่นพวกนายธนาคารใหญ่ ต้องการที่จะประนีประนอมกับกษัตริย์ แต่พรรคแจคโคบิน ซึ่งนำโดย โรบสเบียร์ เข้าใจว่าต้องปลุกระดมคนจนในเมืองเพื่อให้การปฏวัติถึงจุดจบ มวลชนที่สำคัญของพรรคแจคโคบินจึงเป็นพวก แซนคูลอท (พวกคนจนที่ไม่ใส่กางเกงขาสั้นตามแฟชั่นคนมั่งมี แต่ใส่กางเกงขายาวแทน) นอกจากนี้มีการปกป้องทหารที่ไม่ยอมยิงประชาชนตามคำสั่งของกษัตริย์ ซึ่งทำให้ทหารธรรมดาจำนวนมากเปลี่ยนข้างมาอยู่ฝ่ายปฏิวัติ

    กษัตริย์หลุยส์ที่ 16 เป็นคนอ่อนแอ แต่อนุรักษ์นิยมสุดขั้ว ทั้งป่าเถื่อนและไร้คุณสมบัติที่จะพัฒนาสังคมให้ทันสมัย ประชาชนฝรั่งเศสตั้งชื่อเล่นให้เขาว่า "หลุยส์คนสุดท้าย" ส่วน ราชินี มารี อันตัวเน๊ต เป็นคนที่ไม่สนใจความทุกข์ยากของประชาชน มีตำนานเล่าว่าเมื่อมีคนจนประท้วงว่าไม่มีขนมปังกิน ราชินีตอบว่า "ทำไมไม่ไปกินเค้กแทนละ?" งานอดิเรกของราชินีคือ การซ่อมวังและการสั่งให้คนงานสร้างหมู่บ้านตัวอย่างเพื่อชักชวนให้คนใช้ชีวิตพอเพียงกับธรรมชาติ นอกจากนี้ราชินีมีส่วนในเรื่องอื้อฉาวเกี่ยวกับสร้อยคอเพชรอีกด้วย

    ในเดือนกันยายนปี 1792 รัฐสภาพลเมืองได้ลงมติยกเลิกสถาบันกษัตริย์และประกาศสาธารณรัฐฝรั่งเศส ในที่สุดการปฏิวัติถึงจุดสุดยอดในปี 1793 ด้วยการประหารชีวิตกษัตริย์หลุยส์ที่ 16 , ราชินี มารี อันตัวเน๊ต และราชวงศ์กับขุนนางจำนวนมาก เนื่องจากพวกนี้ต้องการขัดขวางความเจริญก้าวหน้าของสังคมและหมุนนาฬิกากลับสู่ยุคมืด

    เซ็นต์จัสต์ ผู้นำพรรคแจคโคบินคนหนึ่งปราศรัยกับรัฐสภาในวันที่ 24 เมษายน ปี1793 ว่า "ในไม่ช้าประเทศอารยะจะจับพวกชนชั้นปกครองเก่ามาขึ้นศาล พวกกษัตริย์จะหนีไปอยู่ในทะเลทรายกับพวกสัตว์ป่าที่เป็นพวกเดียวกับเขา และสิทธิมนุษย์ตามธรรมชาติจะกลับมายิ่งใหญ่อีกครั้ง"

             http://www.thaingo.org/writer/view.php?id=1267

    --
    ขอเชิญอ่าน blog.Thank you so much.
    http://www.sanamluang.bloggang.com
    http://tham-manamai.blogspot.com
    http://lifeanddeath2mcu.blogspot.com
    http://www.parent-youth.net
    http://www.tzuchithailand.org
    http://www.presscouncil.or.th
    http://ilaw.or.th
    www.patani-conference.net
    http://www.thaihof.org
    http://thainetizen.org
    http://www.ictforall.org
    http://elibrary.nfe.go.th
    http://dbd-52.hi5.com
    http://www.thaisara.com
    http://www.rmutr.ac.th

    วันเสาร์ที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

    [Food not Bombs Thailand] Re: บทความน่าอ่านว่าด้วยเรื่อง การกระจายรายได้



     
    From: Suluck Lamubol <suluck@gmail.com>
    Date: ก.ค. 17, 2009 6:48 หลังเที่ยง
    Subject: [Food not Bombs Thailand] Re: บทความน่าอ่านว่าด้วยเรื่อง การกระจายรายได้
    To: food-not-bombs-thailand@googlegroups.com

    ก๊อปมาให้อ่านมาให้ไม่หมดจ้ะ คลิกไปอ่านต่อในลิงค์นะจ๊ะๆ
    "เพราะเราต้องการอาหาร ไม่ใช่ระเบิด"

    2009/7/17 Food Not Bombs Thailand <fnb.bkk@gmail.com>

    เพราะเราต้องการเอาเงินมาดูแลความเป็นอยู่ของประชาชนมากกว่าเอาไปซื้อระเบิดทำสงคราม และการที่จะทำให้คนมีความเป็นอยู่ดีเท่าๆกันถ้วนหน้า  ก็ต้องมาจากการเก็บภาษีอย่างกระจายและก้าวหน้า เพื่อจะได้เอาเงินไปจัดสวัสดิการให้ประชาชนนะจ๊ะๆ

    http://www.prachatai.com/journal/2009/07/24929

    สัมภาษณ์ ผศ.ดร.ดวงมณี เลาวกุล: “ภาษีที่ดิน” กับ “ความเป็นธรรม” และ “การกระจายรายได้”

    Thu, 2009-07-02 01:48

    ผลประโยชน์ทับซ้อนของเจ้าที่ดินรายใหญ่ซึ่งในขณะเดียวกันก็ทำหน้าที่เป็นนักการเมืองผู้พิจารณากฎหมายไปด้วย ทำให้ในขณะนี้เส้นทางของการออกกฎหมายใหม่เพื่อการจัดเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างดูจะไม่ราบลื่นนัก และคงต้องติดตามกันต่อไปถึงแผนที่ นายกรณ์ จาติกวณิช รมว.คลัง วางแผนจะชงกฎหมายเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรีในเดือน ส.ค.นี้ ตามด้วยการนำเรื่องเข้าสู่การพิจารณาของที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร ว่ากฎหมายนี้จะออกหัว-ออกก้อย หรือจะมีการล้มกระดานกันไปอย่างไม่ให้ต้องได้ลุ้น

    อย่างไรก็ตาม เหตุผลที่กฎหมายภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างมีความสำคัญ นอกจากจะเกี่ยวข้องกับการปฏิรูประบบภาษีให้ไปสู่การจัดเก็บภาษีที่ก้าวหน้า มีประสิทธิภาพและเป็นธรรมแล้ว ที่สำคัญยิ่งกว่านั้น คือความคาดหวังที่ว่ามาตรการภาษีดังกล่าวจะมาช่วยลดความเหลื่อมล้ำในการกระจายรายได้ ซึ่งเป็นปัญหาใหญ่ของประเทศไทยในปัจจุบัน

    โครงการวิจัยเรื่อง “นโยบายและมาตรการทางการคลังเพื่อความเป็นธรรมในการกระจายรายได้” คืองานศึกษาชิ้นสำคัญอีกชิ้นหนึ่งที่ยืนยันภาพความเหลื่อมล้ำระหว่างคนจนและคนรวยในสังคมไทยที่สะท้อนผ่านการถือครองที่ดินซึ่งยังคงกระจุกตัวอยู่กับคนเพียงบางกลุ่ม และคนเหล่านี้นี้ก็ถือครองรายได้มากกว่าครึ่งหนึ่งของรายได้ทั้งหมด ทั้งนี้ การศึกษายังพบว่า “นโยบายด้านภาษี” อย่างการจัดเก็บภาษีทรัพย์สิน เช่น ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง จะสามารถพัฒนาโครงสร้างทางการคลังเพื่อนำไปสู่ภาวการณ์กระจายรายได้ที่ดีขึ้นได้

    เพื่อทำความรู้จักกับ “ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง” ในฐานะ “มาตรการการคลัง” ที่จะมาช่วยสร้างความเป็นธรรมในการกระจายรายได้ “ประชาไท” ขอนำเสนอบทสัมภาษณ์ ผศ.ดร.ดวงมณี เลาวกุล อาจารย์คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ หนึ่งในทีมทำงาน พร้อมคำถามสำคัญถึงความเป็นไปได้ที่กฎหมายที่ดินและสิ่งปลูกสร้างฉบับปัจจุบันจะนำไปสู่เป้าหมายของการกระจายการถือครองที่ดิน เพื่อความเป็นธรรมตามแนวทางการปฏิรูปที่ดิน ดังความมุ่งหวังของใครหลายๆ คนได้หรือไม่ อย่างไร

    ผศ.ดร.ดวงมณี เลาวกุล อาจารย์คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
    หนึ่งในผู้ศึกษา โครงการวิจัยเรื่อง “นโยบายและมาตรการทางการคลังเพื่อความเป็นธรรมในการกระจายรายได้”

    00000


    “ข้อมูลที่ได้มาคือ ผู้ถือครองที่ดินมากที่สุด 50 อันดับแรก 
    และ 50 อันดับสุดท้ายที่ถือครองที่ดินน้อยที่สุด 
    ในรายที่มีการถือครองที่ดินน้อยที่สุดมีที่ดินเพียง 0.1 ตารางวา 
    ส่วนผู้ที่ถือครองที่ดินมากที่สุดในกรุงเทพฯ อันดับหนึ่ง 
    ถือครองที่ดิน 14,776 ไร่ 1 งาน 39.7 ตารางวา”


    00000

     

    คุยเรื่องงานวิจัยคร่าวๆ
    ผศ.ดร.ดวงมณี : งานวิจัยที่ผ่านมาทำเรื่อง “นโยบายและมาตรการทางการคลังเพื่อความเป็นธรรมในการกระจายรายได้” เสนอสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ คณะทำงานการกระจายรายได้ทีมี อ.ณรงค์ (ณรงค์ เพ็ชรประเสริฐ สมาชิกสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ) เป็นประธานชุดอยู่ โดยงานศึกษาพูดถึงภาษีหลักๆ 4 ตัว คือ ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ภาษีมรดก ภาษีสิ่งแวดล้อม และภาษีกำไรจากส่วนเพิ่มของทุน (Capital gain tax) แต่ที่มีการศึกษาในรายละเอียดก็คือภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างว่ามีผลอย่างไรต่อการกระจายรายได้บ้าง เป็นการศึกษาในเชิงเศรษฐศาสตร์โดยพิจารณาจากค่าสัมประสิทธิ์ความไม่เสมอภาค (Gini Coefficient) ใช้ข้อมูลการสำรวจภาวะเศรษฐกิจและสังคมของครัวเรือน มาทำการวิเคราะห์

    การศึกษาดูในเชิงว่าการจัดเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างมีผลต่อการกระจายรายได้มากน้อยแค่ไหน และอีกส่วนหนึ่งที่ศึกษาคือการกระจายการถือครองที่ดินที่เป็นอยู่ในขณะนี้มีการกระจุกตัวมากน้อยแค่ไหน แต่เนื่องจากว่าข้อมูลของกรมที่ดินเองยังทำไม่ครบ ซึ่งก็มี Pilot project อยู่บางจังหวัด จึงได้ข้อมูลแค่ในบางจังหวัด และเนื่องจากเวลาในการศึกษาค่อนข้างน้อยจึงได้ทำการศึกษาข้อมูลของกรุงเทพฯ เพียงแห่งเดียว ซึ่งข้อมูลที่ได้มาคือ ผู้ถือครองที่ดินมากที่สุด 50 อันดับแรก และ 50 อันดับสุดท้ายที่ถือครองที่ดินน้อยที่สุด

    ในรายที่มีการถือครองที่ดินน้อยที่สุดมีที่ดินเพียง 0.1 ตารางวา ส่วนผู้ที่ถือครองที่ดินมากที่สุดในกรุงเทพฯ อันดับหนึ่ง ถือครองที่ดิน 14,776 ไร่ 1 งาน 39.7 ตารางวา โดยข้อมูลจากกรมที่ดินนี้เป็นการถือครองที่ดินของบุคคลธรรมดาและนิติบุคคล ซึ่งรวมทั้งหน่วยงานรัฐต่างๆ และสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ โดยไม่มีการเปิดเผยว่าอันดับหนึ่งคือใคร แต่คิดว่าที่ดินกว่า 14,776 ไร่นี้ มูลค่าคงเยอะมาก นอกจากนั้นได้มีการศึกษาที่ดินที่มีราคาแพง เช่น ในเขตสัมพันธวงศ์ บางรัก ปทุมวัน ว่ามีการกระจายการถือครองที่ดินอย่างไร 
     

    ตาราง 1 การถือครองที่ดินทั้งประเภทบุคคลธรรมดาและนิติบุคคล ในกรุงเทพฯ
    ที่ถือครองที่ดินมากที่สุด 50 อันดับ และต่ำสุด 50 อันดับ ในปี 2551

    ลำดับ
    เนื้อที่มาก
    เนื้อที่น้อย
    ลำดับ
    เนื้อที่มาก
    เนื้อที่น้อย
    ไร่
    งาน
    ตารางวา
    ตารางวา
    ไร่
    งาน
    ตารางวา
    ตารางวา
    1
    14,776
    1
    39.7
    0.1
    26
    1,035
    1
    23.2
    2.6
    2
    11,136
    <div align="right" style="margin-top: 0px; margin-right: 0px; margin-bottom: 0.0001pt; margin-left: 0px; padding-top: 0px; padding-right: 0px; padding-bottom: 0px; padding-left: 0px; border-top-width: 0px; border-right-width: 0px; border-bottom-width: 0px; border-left-width: 0px; border-style: initial; bo



    --
    Suluck Lamubol (Fai)

    Chulalongkorn University
    Student Federation of Thailand

    Email: Suluck@gmail.com
    MSN: suluck_fai@hotmail.com
    Skype: fai.suluck
     

    --~--~---------~--~----~------------~-------~--~----~
    You received this message because you are subscribed to the Google Groups "Food not Bombs Thailand" group.
    To post to this group, send email to food-not-bombs-thailand@googlegroups.com
    To unsubscribe from this group, send email to food-not-bombs-thailand+unsubscribe@googlegroups.com
    For more options, visit this group at http://groups.google.com/group/food-not-bombs-thailand?hl=en
    -~----------~----~----~----~------~----~------~--~---



    --
    ขอเชิญอ่าน  blog.Thank you so much.
    http://www.sanamluang.bloggang.com
    http://tham-manamai.blogspot.com
    http://lifeanddeath2mcu.blogspot.com
    http://www.thaiyogainstitute.com
    http://www.thaihof.org
    http://www.parent-youth.net
    http://www.tzuchithailand.org
    http://www.presscouncil.or.th
    http://thainetizen.org
    http://www.ictforall.org
    http://dbd-52.hi5.com