ใครๆก็แก้กฎหมายได้(คุณก็ด้วย)
Bookmark and Share

วันศุกร์ที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2552

นิรโทษฯ"เหลือง-แดง" วาระซ่อนเร้น "ภท." ราดน้ำมันบนกองไฟ


วันที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2552 ปีที่ 32 ฉบับที่ 11486 มติชนรายวัน


นิรโทษฯ"เหลือง-แดง" วาระซ่อนเร้น "ภท." ราดน้ำมันบนกองไฟ





ชัดเจนแล้วว่า ร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) นิรโทษกรรมแก่ผู้ซึ่งกระทำความผิดเนื่องในการชุมนุมทางการเมืองของประชาชนระหว่างวันที่ 25 พฤษภาคม ถึงวันที่ 3 ธันวาคม 2551 และระหว่างวันที่ 26 มีนาคม ถึงวันที่ 14 เมษายน 2552 พ.ศ. .... ของพรรคภูมิใจไทย

ที่มีนายบุญจง วงศ์ไตรรัตน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทยเป็นหัวขบวน ยื่นต่อนายชัย ชิดชอบ ประธานสภาผู้แทนราษฎร บิดาของนายเนวิน ชิดชอบ ผู้มีบารมีแห่งภูมิใจไทย เมื่อวันที่ 19 สิงหาคม

เข้าลักษณะ"ชงเอง กินเอง"นั้น

ไม่ได้สร้างความสมานฉันท์ตามความมุ่งหวังของร่างกฎหมาย

เพราะ"ตัวละคร"ในเหตุการณ์ ทั้ง กลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) หรือกลุ่มเสื้อแดง และกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) ตั้งท่าคัดค้านตั้งแต่เริ่มแรก

แกนนำ นปช. นายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย ไม่เอาด้วย

เพราะไม่ไว้วางใจพรรคภูมิใจไทย กลัวว่าจะมีวาระซ่อนเร้น "ยืนยันว่าคดีของคนเสื้อแดงจะเอามาแลกกับคดีของคนเสื้อเหลืองไม่ได้ เพราะความผิดมันแตกต่างกัน กลุ่มคนเสื้อเหลืองมีโทษถึงขั้นประหารชีวิตจากการยึดสนามบินสุวรรณภูมิและสนามบินดอนเมือง ขณะที่คนเสื้อแดงมีโทษเล็กน้อยจากการปิดถนนเท่านั้น"

ขณะที่นายสุริยะใส กตะศิลา ผู้ประสานงานกลุ่ม พธม. มีความเห็นไปในทิศทางเดียวกัน ที่ไม่เห็นด้วยกับร่างกฎหมายฉบับนี้

ความเห็นนายสุริยะใสน่าสนใจยิ่ง

"เป็นการเอาเรื่องความสมานฉันท์และความขัดแย้งของประชาชนมาเป็นข้ออ้างเท่านั้น และลึกๆ แล้วหวังนิรโทษกรรมให้กับข้าราชการประจำระดับสูงที่อิงแอบกับพรรคการเมือง โดยเฉพาะนายตำรวจใหญ่ที่กำลังจะต้องรับผิดชอบในคดี 7 ตุลาคม 2551"

เมื่อตรวจสอบข่าวสารวันที่ 19 สิงหาคมที่ผ่านมา มีสถานการณ์ที่ชวนให้สงสัยว่าสอดคล้องกับความเห็นนายสุริยะใสหรือไม่

กรณีที่ พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผบ.ตร. เดินทางมาชี้แจงข้อกล่าวหาต่อ ป.ป.ช.ในคดีสลายม็อบ พมธ.เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2551 ที่หน้ารัฐสภา

เนื่องจากมติ ป.ป.ช.ให้แจ้งข้อกล่าวหาผิดวินัยร้ายแรง และความผิดทางอาญาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 เพิ่มเติม

จากมูลเหตุที่พบว่า มีคำสั่งเรื่องอำนาจการสั่งเคลื่อนกำลังพลในการดำเนินการกับกลุ่มผู้ชุมนุม

ซึ่งคำสั่งดังกล่าวจะต้องเป็นอำนาจการสั่งการของ ผบ.ตร.เพียงคนเดียวเท่านั้น

จึงเป็นประเด็นสำคัญที่ พล.ต.อ.พัชรวาทต้องงัดพยานหลักฐานมาหักล้าง"ปม"นี้ให้ได้

ผลของคดีนี้จึงสุ่มเสี่ยงต่อชีวิตข้าราชการตำรวจของ พล.ต.อ.พัชรวาท เป็นอย่างยิ่ง

นอกจากนี้ยังมีคนคิดไกลไปกว่านั้นว่า จะมีการ"รุก"ต่อ เข้าทำนองได้คืบจะเอาศอก

คือ ถ้ากฎหมายฉบับนี้ผ่านสภา จะมีการไต่ระดับไปออกกฎหมายนิรโทษกรรมให้กับบรรดานักการเมืองที่ถูกดำเนินคดีต่างๆ อยู่ในขณะนี้ด้วย

และถ้าทบทวนกันให้ดีๆ จะเห็นว่า หลายพฤติกรรมของพรรคคนเสื้อสีน้ำเงินที่เสนอกฎหมายฉบับนี้ ยังขัดแย้งกับการส่งเสริมบรรยากาศสมานฉันท์ในสังคม

โดยเฉพาะการสั่งข้าราชการกระทรวงมหาดไทยภายใต้ร่มเงาของนายชวรัตน์ ชาญวีรกูล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ตั้งโต๊ะรับลงชื่อคัดค้าน และถอนชื่อ การถวายฎีกา เพื่อขอพระราชทานอภัยโทษ ให้แก่พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนากรัฐมนตรี

ที่ได้ขยับเป้าจาก 10 ล้านรายชื่อ เป็น 20 คนล้านรายชื่อแล้ว

ถือเป็นการดิสเครดิต สมาชิกเสื้อแดง

ตอกลิ่มสงครามระหว่างสีเสื้อให้เข้มข้นยิ่งขึ้น

ดังนั้น จู่ๆ เมื่อภูมิใจไทย เสนอร่างกฎหมายฉบับนี้จึงสร้างความกังขาแก่คนเสื้อแดง และพรรคเพื่อไทยทันที ว่างานนี้ต้องมีอะไรแอบแฝง

ยิ่งบรรดานักกฎหมายทั้งหลาย ต่างกังวลว่า ถ้ากฎหมายฉบับนี้มีผลบังคับใช้จะยิ่งเป็นการทำลายความน่าเชื่อถือของกระบวนการยุติธรรมของประเทศ โดยเฉพาะศาลยุติธรรม

และสร้างแบบอย่างไม่ดีให้กับคนผิด เพราะเมื่อทำผิดแล้วก็มาออกกฎหมายนิรโทษกรรมให้ตัวเองหรือพวกพ้อง

ถ้าพลพรรคภูมิใจไทยยังขืนดันทุรังผลักดันต่อไป เท่ากับราดน้ำมันลงไปในเปลวเพลิงแห่งความขัดแย้งในสังคมขณะนี้

เห็นรำไรแล้วว่า ร่างกฎหมายนี้น่าจะแท้งแน่

หน้า 3

โจทย์ใหม่กับการลดการแบ่งขั้ว

วันที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2552 เวลา 20:30:13 น.  มติชนออนไลน์
 


โจทย์ใหม่กับการลดการแบ่งขั้ว

โดย ประสงค์ วิสุทธิ์

ช่วงที่ผ่านมามีความพยายามจากฝ่ายต่างๆที่จะตั้งโจทย์และเสนอแนวทางในการแก้ไขปัญหาความขัดแย้ง แตกแยก แบ่งขั้ว แบ่งฝ่ายที่เกิดขึ้นในทางการเมืองและสังคม  แต่ส่วนใหญ่มักตั้งโจทย์แคบๆ เช่น การแก้ไขรัฐธรรมนูญบางมาตรา  การออกกฎหมายนิรโทษกรรมฯลฯ ซึ่งข้อเสนอต่างๆเน้นไปที่ผลประโยชน์ของนักการเมืองเป็นหลัก


เมื่อเร็วๆนี้สำนักงานกองทุนเพื่อสนับสนุนการวิจัย(สกว.)มอบหมายให้สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย(ที่ดีอาร์ไอ)ทำวิจัยในหัวข้อ"การปฏิรูปเศรษฐกิจเพื่อลดความขัดแย้งทางการเมือง"ซึ่งข้อเสนอการวิจัยดังกล่าวได้เสนอแนวคิดที่น่าสนใจ จึงขอสรุปแนวคิดที่ปรากฎอยู่ในเอกสารดังกล่าวนำเสนอโดยสังเขป


ความขัดแย้งทางการเมืองอย่างรุนแรงในช่วงที่ผ่านมา มีความเชื่อมโยงอย่างใกล้ชิดกับโครงสร้างเศรษฐกิจของประเทศ


ในด้านหนึ่งเศรษฐกิจผูกขาด เช่น ระบบสัมปทานต่างๆ ซึ่งอิงกับอำนาจรัฐ ก่อให้เกิดส่วนเกินทางเศรษฐกิจหรือค่าเช่าทางเศรษฐกิจ (economic rent) มหาศาลและชักนำให้นักธุรกิจหลายกลุ่มที่มีแหล่งรายได้หลักจากสัมปทานเข้าสู่อำนาจทางการเมือง และได้รับชัยชนะในระบบการเลือกตั้งที่มีการใช้เงินทุนสูง


ในอีกด้านหนึ่ง ความไม่เสมอภาคทางเศรษฐกิจในระดับที่สูง และการที่ประเทศไทยมีแรงงานในภาคเศรษฐกิจที่ไม่เป็นทางการ จำนวนมาก ทำให้ประชาชนส่วนใหญ่ขาดสวัสดิการที่ได้รับจากการทำงาน และต้องการความช่วยเหลือจากรัฐทั้งในด้านสาธารณสุข การศึกษา การเข้าถึงสินเชื่อ ฯลฯ


ปัจจัยทั้ง2 ด้านทำให้นักการเมืองบางกลุ่ม ประสบความสำเร็จในทางการเมืองอย่างสูงโดยใช้ "นโยบายประชานิยม" ซื้อใจคนจนและคนชั้นกลางระดับล่าง


นอกจากนั้นก็อาศัยอำนาจการเมืองที่ได้จากการเลือกตั้งมาใช้ปกป้อง เพิ่มพูนผลประโยชน์ทางธุรกิจ และสร้างอำนาจผูกขาดให้ธุรกิจของพวกพ้อง ตลอดจนแสวงหาค่าเช่าทางเศรษฐกิจจากนโยบายสาธารณะและมาตรการต่างๆ ของรัฐ ทั้งในระบบงบประมาณ และนอกระบบงบประมาณ


ปัญหาการผูกขาดและความไม่เสมอภาคทางเศรษฐกิจจึงมีผลกระทบโดยตรง รวมถึงการใช้ "นโยบายประชานิยม" แบบขาดวินับทางการคลัง ก่อให้เกิดความขัดแย้งในสังคม ทำให้ระบบประชาธิปไตยของไทยไม่สามารถลงหลักปักฐานได้อย่างมีเสถียรภาพ 


ทำให้มีความจำเป็นที่ต้องมีการปฏิรูประบบเศรษฐกิจเพื่อลดส่วนเกินและลดความไม่เสมอภาคทางเศรษฐกิจ นอกเหนือจากการปฏิรูปกฎกติกาและสถาบันทางการเมืองอย่างที่เคยดำเนินการมา


เอกสารได้ยกตัวอย่างผลงานวิจัยในต่างประเทศหลายชิ้นที่ชี้ให้เห็นว่า การปฏิรูปการเมืองให้เป็นประชาธิปไตยอย่างมั่นคงจะไม่สามารถหลีกเลี่ยงการปฏิรูปเศรษฐกิจเพื่อลดความเหลื่อมล้ำระหว่างคนกลุ่มต่างๆได้ ซึ่งทำได้โดยการลดความร่ำรวยมหาศาลที่กระจุกตัวในคนกลุ่มน้อยจากการได้รับส่วนเกินทางเศรษฐกิจต่างๆควบคู่ไปกับเพิ่มรายได้และสวัสดิการสังคมให้คนจนและคนชั้นกลางระดับล่าง โดยเฉพาะการปรับเปลี่ยนนโยบายประชานิยมไปสู่การให้สวัสดิการพื้นฐานตามแนวคิดของรัฐสวัสดิการ


อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนแปลงจะต้องไม่รุนแรงเกินไปจนก่อให้เกิดความขัดแย้งใหม่ ซึ่งจะทำให้เกิดการล้มกระดานของชนชั้นสูงที่เห็นว่า ระบบประชาธิปไตยทำให้ตนต้องเกิดความสูญเสียมากกว่าทางเลือกอื่น ซึ่งการโอนถ่ายทรัพยากรระหว่างกลุ่มคนไม่มากเกินไป เช่น ต้องไม่กระทบระบบกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินจากการถูกยึดทรัพย์ โดยไม่มีเหตุผลสมควร ในขณะเดียวกันก็ต้องไม่น้อยเกินไปสำหรับคนจนและคนชั้นกลางระดับล่าง


นอกจากนี้ กระบวนการดังกล่าวต้องมีความชอบธรรม เช่น ไม่ปิดโอกาสในการสร้างฐานะจากการทำงานโดยสุจริต แต่ลดโอกาสในการแสวงหาส่วนเกินทางเศรษฐกิจที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย


ขณะเดียวกัน รัฐสวัสดิการจะคงอยู่รอดได้ หากเศรษฐกิจของประเทศมีการเจริญเติบโตอย่างยั่งยืน จากการที่ภาคการผลิตมีการยกระดับผลิตภาพ (production upgrading) อย่างต่อเนื่องและการใช้จ่ายของรัฐถูกควบคุมอยู่ภายใต้กรอบทางการคลังที่โปร่งใสและมีวินัย


งานวิจัยนี้ต้องการศึกษาทำความเข้าใจถึงความสัมพันธ์ระหว่างการกระจุกตัวของทรัพย์สินกับการกระจุกตัวของอำนาจการเมือง โดย การจัดทำแผนที่ของค่าเช่าทางเศรษฐกิจ การนำเสนอแนวนโยบายการลดหรือการควบคุมค่าเช่าทางเศรษฐกิจ ตลอดจนการจำกัดพฤติกรรมดังกล่าวที่จะเป็นผลเสียต่อระบบเศรษฐกิจและการเมือง


ส่วนเกินในระบบเศรษฐกิจที่จะหยิบยกมาศึกษามีด้วยกัน 5 ด้านได้แก่ การผูกขาดทางเศรษฐกิจ  การแทรกแซงตลาด เช่น ตลาดสินค้าเกษตร การทุจริตในการจัดซื้อจัดจ้าง/สัมปทานของรัฐ การใช้อิทธิพลในการเข้าถึงทรัพยากรธรรมชาติ การปั่นหุ้นและการใช้ข้อมูลลวงในตลาดหลักทรัพย์


นอกจากนั้นจะศึกษาเรื่องมาตรการการคลังเพื่อความเป็นธณรมทางเศรษฐกิจและสังคมด้วย


อย่างไรก็ตาม งานวิจัยนี้จะมีประโยชน์ ต้องมีการผลักดันให้ผู้นำทางการเมืองนำไปใช้เป็นแนวทางในการปฏิรูประบบเศรษฐกิจให้เกิดผลด้วย

  http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1250859246&grpid=no&catid=02

--
ขอเชิญอ่าน blog.Thank you so much.
http://www.baanjomyut.com/library/lotus
http://www.educationatclick.com
http://www.pwdom.com
http://weblogcamp2009.blogspot.com/2009
http://www.twitter.com/kajorn
http://www.twitter.com/BKKFlashCamp
http://camp02.readyhomepage.com
http://www.twitter.com/sun1951
http://www.twitter.com/joomlacorner
http://sun1951.vaivaitraining.com
http://sun1951.wordpress.com
http://www.educationatclick.com/th/

วันพุธที่ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2552

40 ส.ว.ร้องประชาคมโลกรุมประณามพม่าสั่งจำคุก "ซูจี"

40 ส.ว.ร้องประชาคมโลกรุมประณามพม่าสั่งจำคุก “ซูจี”
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 12 สิงหาคม 2552 14:41 น.
คลิกที่ภาพเพื่อดูขนาดใหญ่ขึ้น
ประสาร มฤคพิทักษ์

กลุ่ม 40 ส.ว.เตรียมล่ารายชื่อ เห็นพ้องคัดค้านศาลพม่าสั่งจำคุก “ซูจี” เรียกร้องประชาคมโลกรุมประณาม ชี้รัฐบาลทหารพม่าใช้เล่ห์เหลี่ยมกีดกันเพื่อไม่ให้ลงสมัครเลือกตั้ง เกรงจะได้รับชัยชนะ
       
       วันนี้ (12 ส.ค.) นายประสาร มฤคพิทักษ์ ส.ว.สรรหา ในฐานะประธานที่ปรึกษาคณะกรรมาธิการสิทธิมนุษยชนสิทธิเสรีภาพและการคุ้มครองผู้บริโภควุฒิสภา กล่าวถึงกรณีศาลพม่าตัดสินให้นางอองซานซูจี จำคุกต่อว่า เป็นเล่ห์กลของการทหารพม่าที่ต้องการให้นางซูจี ออกจากระบบเลือกตั้ง เพราะปีหน้าพม่าจะมีการเลือกตั้ง ซึ่งทหารเกรงว่าเมื่อนางซูจีมาลงเลือกตั้งจะชนะ และทหารจะได้รับความพ่ายแพ้จึงทำการสกัดไว้ ซึ่งการที่ศาลพม่าสั่งจำคุก 3 ปี นางซูจี แล้วลดโทษให้เป็น1 ปีครึ่งก็ตาม การสั่งจำคุกครั้งครั้งนี้ถือว่าเป็นการป้ายสีนางซูจี อย่างไรก็ตาม อยากเรียกร้องให้ประชาคมโลก อาทิ UN คณะกรรมการสิทธิสหประชาชาติ และองค์กรณ์ที่เกี่ยวข้อง ให้ออกมาประณาม กดดันอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งคว่ำบาตรทางการทหาร เศรษฐกิจ การเมือง พม่าอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้คณะกรรมการสิทธิเสรีภาพของไทย ก็ต้องออกมากดดัน การจับกุมคุมขัง นางซูจีด้วย
       
       นายประสารกล่าวอีกว่า ขณะนี้กลุ่ม 40 ส.ว.ได้หารือกันแล้วเห็นว่าจะรวบรวมรายชื่อ ส.ว.เพื่อคัดค้านคำสั่งศาลของทางการพม่า คาดว่าพรุ่งจะเริ่มล่ารายชื่อได้แล้ว ซึ่งการทำอย่างนี้จะทำให้สาธารณะรับรู้

http://www.manager.co.th/Politics/ViewNews.aspx?NewsID=9520000091622


--
      Weblink
http://ilaw.or.th
www.patani-conference.net
http://www.thaihof.org
http://thainetizen.org
http://www.ictforall.org
http://elibrary.nfe.go.th
http://www.thaisara.com
http://www.rmutr.ac.th
http://www.bedo.or.th/default.aspx
http://weblogcamp2009.blogspot.com
http://seminarmon.blogspot.com
http://seminartue.blogspot.com
http://seminarwed.blogspot.com
http://seminarthu.blogspot.com
http://seminarfri.blogspot.com
http://seminar1951.blogspot.com
http://seminardd.com

วันอาทิตย์ที่ 9 สิงหาคม พ.ศ. 2552

กมธ.กิจการสภา สผ. เตรียมดูงานอาคารรัฐสภาต่างประเทศ

 

 

 

กมธ.กิจการสภา สผ. เตรียมดูงานอาคารรัฐสภาต่างประเทศ

7 ส.ค. 52 -              ประธานคณะกรรมาธิการกิจการ สภาผู้แทนราษฎร เผย คณะกรรมาธิการเตรียมเดินทางไปดูงานด้านรัฐสภา ณ สาธารณรัฐอินเดีย และสาธารณรัฐเกาหลีใต้ หวัง นำข้อมูลที่ได้มาปรับใช้กับรัฐสภาของไทย พร้อมระบุขณะนี้รอเพียงคำสั่งอนุมัติการเดินทางจากประธานรัฐสภาเท่านั้น

                นายศักดา  คงเพชร ประธานคณะกรรมาธิการกิจการ สภาผู้แทนราษฎร กล่าวถึงผลการพิจารณาเพื่อเตรียมการเดินทางไปศึกษาดูงานต่างประเทศของคณะกรรมาธิการว่า ในครั้งนี้คณะกรรมาธิการเตรียมที่จะเดินทางไปศึกษาดูงานระบบงานด้านรัฐสภาและอาคารรัฐสภา ณ ประเทศอินเดียและสาธารณรัฐเกาหลีใต้ เพื่อนำข้อมูลมาปรับใช้กับรัฐสภาของไทย นอกจากนี้กรรมาธิการจะได้ใช้โอกาสนี้ในการสร้างความเข้าใจอันดีเกี่ยวกับสถานการณ์ในประเทศไทยต่อประเทศอินเดียและสาธารณรัฐเกาหลีใต้ด้วย

                ส่วนการเดินทางครั้งนี้คณะกรรมาธิการคาดหมายในเบื้องต้นว่าจะเดินทางไปศึกษาดูงาน ณ ประเทศอินเดียในช่วงวันที่ 28 สิงหาคม ถึงวันที่ 1 กันยายน 2552 ส่วนสาธารณรัฐเกาหลีใต้เบื้องต้นกำหนดไว้ในช่วงวันที่ 11 15 กันยายน 2552 แต่ทั้งนี้คณะกรรมาธิการต้องรอหนังสือตอบรับจากกระทรวงการต่างประเทศ และสถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐอินเดียประจำประเทศไทย เพื่อนำมาประกอบเรื่องการขออนุมัติเดินทางศึกษาดูงานจากนายชัย ชิดชอบ ประธานรัฐสภาและประธานสภาผู้แทนราษฎร ก่อนที่จะมีการเดินทางจริง

 

 

 

 

 

 

 

 

 

                                                                                                                                อัญชิสา  จ่าภา         ผู้สื่อข่าว

                                                                                                                เกรียงไกร  หอมจันทร์เทศ   เรียบเรียง

 



--
      Weblink
http://ilaw.or.th
www.patani-conference.net
http://www.thaihof.org
http://thainetizen.org
http://www.ictforall.org
http://elibrary.nfe.go.th
http://www.thaisara.com
http://www.rmutr.ac.th
http://www.bedo.or.th/default.aspx
http://weblogcamp2009.blogspot.com
http://seminarmon.blogspot.com
http://seminartue.blogspot.com
http://seminarwed.blogspot.com
http://seminarthu.blogspot.com
http://seminarfri.blogspot.com
http://seminar1951.blogspot.com
http://seminardd.com

กมธ.ท่องเที่ยวและกีฬา สผ. จัดประชุมพิจารณารายละเอียดการเดินทางศึกษาดูงาน ณ ประเทศญี่ปุ่น

 

 

 

กมธ.ท่องเที่ยวและกีฬา สผ. จัดประชุมพิจารณารายละเอียดการเดินทางศึกษาดูงาน ณ ประเทศญี่ปุ่น

7 ส.ค. 52 -              คณะกรรมาธิการการท่องเที่ยวและกีฬา สภาผู้แทนราษฎร  จัดประชุมศึกษารายละเอียดการเดินทางไปศึกษาดูงาน ณ ประเทศญี่ปุ่น โดยขณะนี้อยู่ระหว่างการประสานงานเพื่อขอเข้าเยี่ยมชมสถานที่ราชการต่างๆ ระบุ ญี่ปุ่นตอบรับให้เข้าดูงานที่สนามฟุตบอลฯและสโมสรฟุตบอลอาชีพแล้ว

ที่ประชุมคณะกรรมาธิการการท่องเที่ยวและกีฬา สภาผู้แทนราษฎร ได้จัดประชุมพิจารณาศึกษาถึงรายละเอียดเรื่อง การเดินทางไปศึกษาดูงาน ณ ประเทศญี่ปุ่นระหว่างวันที่ 4-8 กันยายน พ.ศ.2552 โดยที่ประชุมได้รับทราบความคืบหน้าว่า ขณะนี้อยู่ระหว่างการประสานงานเพื่อขอศึกษาดูงานที่กระทรวงการต่างประเทศ เยี่ยมชมรัฐสภาและเยี่ยมคารวะประธานรัฐสภา พร้อมด้วยประธานคณะกรรมาธิการการท่องเที่ยวและกีฬา สภาผู้แทนราษฎรแห่งประเทศญี่ปุ่น ส่วนการดูงานที่สนามฟุตบอลแห่งประเทศญี่ปุ่น (Japan Football Association) และสโมสรฟุตบอลอาชีพของญี่ปุ่น (Japan League) ที่ได้รับความอนุเคราะห์จากนายวรวีร์ มะกูดี นายกสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทย ช่วยประสานงานให้นั้นขณะนี้มีหนังสือตอบรับจากสมาคมฟุตบอลญี่ปุ่นแล้วว่ายินดีให้การต้อนรับ โดยหลังจากนี้ กมธ.ก็จะดำเนินการขออนุมัติจากประธานรัฐสภาเพื่อเดินทางศึกษาดูงานจากประเทศดังกล่าวต่อไป

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

                                                                                                                วิจิตรา น้าวัฒนไพบูลย์ ข่าว / เรียบเรียง



--
      Weblink
http://ilaw.or.th
www.patani-conference.net
http://www.thaihof.org
http://thainetizen.org
http://www.ictforall.org
http://elibrary.nfe.go.th
http://www.thaisara.com
http://www.rmutr.ac.th
http://www.bedo.or.th/default.aspx
http://weblogcamp2009.blogspot.com
http://seminarmon.blogspot.com
http://seminartue.blogspot.com
http://seminarwed.blogspot.com
http://seminarthu.blogspot.com
http://seminarfri.blogspot.com
http://seminar1951.blogspot.com
http://seminardd.com

ปธ.กมธ.ศาสนา สผ. ระบุ ประเทศอิตาลีให้ความสนใจวัฒนธรรมในประเทศมากกว่าประเทศไทย

                                     

 

 

 

ปธ.กมธ.ศาสนา สผ. ระบุ ประเทศอิตาลีให้ความสนใจวัฒนธรรมในประเทศมากกว่าประเทศไทย

6 ส.ค.52 -               ประธานคณะกรรมาธิการการศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม สภาผู้แทนราษฎร ระบุ หลังการศึกษาดูงาน ณ สาธารณรัฐอิตาลี สมาพันธรัฐสวิส และสาธารณรัฐฝรั่งเศส กรรมาธิการพบ ในประเทศดังกล่าวให้ความสนใจงานทางด้านศิลปะและวัฒนธรรมมากกว่าประเทศไทย

นายทนุศักดิ์ เล็กอุทัย ประธานคณะกรรมาธิการการศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม สภาผู้แทนราษฎร กล่าวถึงผลการเดินทางไปศึกษาดูงานด้านศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม ของคณะกรรมาธิการ ณ สาธารณรัฐอิตาลี สมาพันธรัฐสวิส และสาธารณรัฐฝรั่งเศส ว่า ในส่วนของสาธารณรัฐอิตาลีกรรมาธิการได้โอกาสพบปะสนทนางานด้านวัฒนธรรมกับที่ปรึกษารัฐมนตรีด้านวัฒนธรรมและผู้แทนจากกระทรวงวัฒนธรรมของประเทศอิตาลี ซึ่งทำให้กรรมาธิการทราบว่า ประเทศอิตาลีได้บัญญัติเรื่องวัฒนธรรมประจำชาติไว้ในรัฐธรรมนูญของประเทศ นอกจากนี้ในแต่ละเมืองของประเทศอิตาลีจะมีพิพิธภัณฑ์เพื่อจัดแสดงนิทรรศการด้านวัฒนธรรมประจำชาติอยู่รวมกันกว่า 3,000 แห่งทั่วประเทศ ซึ่งเมื่อนำมาเปรียบเทียบกับประเทศไทยแล้วประเทศอิตาลีถือว่าให้ความสนใจงานทางด้านวัฒนธรรมมากกว่าประเทศไทย

ทั้งนี้ในส่วนสาธารณรัฐฝรั่งเศส คณะกรรมาธิการ ได้มีโอกาสเยี่ยมชมในส่วนของพิพิธภัณฑ์เก็บรักษาภาพวาดที่มีชื่อของโลก ซึ่งก็มีการบริหารจัดการที่ดีเช่นเดียวกับประเทศอิตาลี

ประธานคณะกรรมาธิการการศาสนาฯ กล่าวว่า ผลที่คณะกรรมาธิการได้จากการศึกษาดูงานในครั้งนี้คณะกรรมาธิการจะสรุปเพื่อนำเสนอต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อพัฒนางานทางด้านศิลปะและวัฒนธรรมของประเทศให้ดีขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

เกรียงไกร  หอมจันทร์เทศ   ข่าว / เรียบเรียง



--
      Weblink
http://ilaw.or.th
www.patani-conference.net
http://www.thaihof.org
http://thainetizen.org
http://www.ictforall.org
http://elibrary.nfe.go.th
http://www.thaisara.com
http://www.rmutr.ac.th
http://www.bedo.or.th/default.aspx
http://weblogcamp2009.blogspot.com
http://seminarmon.blogspot.com
http://seminartue.blogspot.com
http://seminarwed.blogspot.com
http://seminarthu.blogspot.com
http://seminarfri.blogspot.com
http://seminar1951.blogspot.com
http://seminardd.com

วันเสาร์ที่ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2552

กรรมการ กสม..โต้"อริณพงศ์"ลาออกเหตุไม่รู้งานถ่องแท้


วันที่ 07 สิงหาคม พ.ศ. 2552 เวลา 08:40:12 น.  มติชนออนไลน์

กรรมการ กสม..โต้"อริณพงศ์"ลาออกเหตุไม่รู้งานถ่องแท้

รายงานข่าวจากคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) เผยว่าตามที่เลขาธิการคณะกรรมการสิทธิฯ นางอริณนพงศ์ สูตรสุคนธ์ ให้ข่าวว่าที่ตนต้องไขก๊อกขอลาออกก่อนเกษียร เพราะถูก กสม.ชุดใหม่ล้วงลูก ข่มขู่ กดดัน ทั้งเรื่องงาน ทำเรื่องผิดให้เป็นถูก แต่เท่าที่ได้รู้จักมักคุ้น ผู้ที่รับบทนั่งหัวโต๊ะ กสม. คนใหม่มานาน ก็ไม่เห็นว่าจะมีท่าทีเช่นนั้น แต่ที่เลขาธิการรู้สึกอึดอัดและกดดัน น่าจะเป็นเพราะทุกคำถามที่ กสม. ชุดใหม่อยากรู้เกี่ยวกับเรื่องความเป็นมาเป็นไปของงานในสำนักงาน หรืองานที่จะก้าวต่อไป เลขาธิการไม่เคยตอบคำถามอย่างคนที่นั่งในตำแหน่งนี้ควรจะรู้เลยซักเรื่อง จับต้นชนปลายก็ไม่ถูก จน กสม. หน้าใหม่ไฟแรงต้องปวดหัวไปตามๆ กัน เพราะไม่รู้จะเริ่มต้นทำงานอย่างไรดี ส่วนทำเรื่องผิดให้เป็นถูกนั้น ก็ไม่น่าจะใช่ เพราะอย่างเรื่องที่เลขาธิการละเลยไม่สรรหา กสม. ชุดนี้ จนศาลปกครองสูงสุดทนไม่ไหวต้องสั่งให้สรรหา ก็เชื่อว่าดร.อมรา พงศาพิชญ์ หนึ่งในคณะกรรมการ กสม.จะไม่ หมกเม็ดทำนิ่งเฉยหรือทำเรื่องผิดให้เป็นเรื่องถูก เพราะเป็นเรื่องที่ทำให้ประเทศชาติเสียหายร้ายแรง อย่างไรเสียก็ต้องสั่งสืบสาวราวเรื่องให้ได้ความว่างานนี้ใครผิดใครถูก ใครสั่งไม่ให้สรรหา ใครกลัวสูญเสียประโยชน์ ซึ่งคงรู้ผลการสอบสวนในไม่ช้านี้ ว่าแต่ว่า กสม. ชุดใหม่ถอดด้ามชุดนี้จะหาอัศวินม้าขาวมาช่วยพยุงไม่ให้องค์กรนี้ต้องล่มสลายได้ทันเวลาหรือไม่ ก็คงต้องรอดูกันต่อไป

http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1249609403&grpid=03&catid=01

--
ขอเชิญอ่าน blog.Thank you so much.
http://www.parent-youth.net
http://www.tzuchithailand.org
http://www.presscouncil.or.th
http://thainetizen.org
http://www.ictforall.org
http://www.narit.or.th
http://dbd-52.hi5.com
http://www.rmutr.ac.th
http://www.momypedia.com
http://www.thaisara.com
http://www.rmutr.ac.th
http://icann-ncuc.ning.com
http://www.webmaster.or.th
http://weblogcamp2009.blogspot.com

วันพฤหัสบดีที่ 6 สิงหาคม พ.ศ. 2552

กมธ.งบฯพรรคเพื่อไทยอัดสถาบันพระปกเกล้าฯด่าส.ส. "บวรศักดิ์"ยันสถาบันฯไม่ดูถูกนักการเมือง


วันที่ 05 สิงหาคม พ.ศ. 2552 เวลา 18:12:35 น.  มติชนออนไลน์

กมธ.งบฯพรรคเพื่อไทยอัดสถาบันพระปกเกล้าฯด่าส.ส. "บวรศักดิ์"ยันสถาบันฯไม่ดูถูกนักการเมือง

กมธ.วิสามัญพิจารณางบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2553 เห็น"บวรศักดิ์"ใช้ผ้าปิดจมูกไล่ออกจากห้องประชุม แต่ในที่สุด เจ้าตัวยืนยันไม่มีอาการไข้ แค่น้ำมูกไหลเท่านั้น ได้ประชุมต่อ

 

ผู้สื่อข่าวรายงานจากรัฐสภาว่า ในช่วงเย็นวันที่ 5 สิงหาคม  คณะกรรมาธิการ(กมธ.)วิสามัญพิจารณางบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2553 ได้พิจารณางบประมาณของสถาบันพระปกเกล้าซึ่งได้รับการจัดสรรจำนวน 364 ล้านบาท ปรากฏว่า นายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ เลขาธิการสถาบันพระปกเกล้า ได้ใส่หน้ากากอนามัยเข้าร่วมชี้แจง ทำให้กมธ.หลายคนตกใจ โดยนายจุติ ไกรฤกษ์ ส.ส.พิษณุโลก พรรคประชาธิปัตย์ กมธ. สอบถามว่า ควรจะขอให้เลขาธิการสถาบันฯ ออกจากห้องประชุมก่อนหรือไม่ เนื่องจากป่วยเป็นไข้หวัดธรรมดา และมีน้ำมูกเท่านั้น ทำให้นางฐิติมา ฉายแสง ส.ส.ฉะเชิงเทรา พรรคเพื่อไทย กมธ. แสดงความตกใจ และกล่าวต่อที่ประชุมว่า ยิ่งให้เข้าร่วมประชุมไม่ได้ เพราะตนเป็นโรคภูมิแพ้อยู่แล้ว จึงขอให้รองเลขาธิการสถาบันฯ เป็นผู้เข้ามาชี้แจงแทน


ทำให้นายบวรศักดิ์ ลุกออกจากห้องและให้นายวุฒิสาร ตันไชย รองเลขาธิการสถาบันฯ เป็นผู้ชี้แจงแทน อย่างไรก็ตาม ภายหลังจากโดนให้ออกจากห้องงบประมาณ 5 นาที ปรากฏว่า นายสุวโรช พะลัง รองประธานกมธ.ชี้แจงว่า นายบวรศักดิ์ไม่ได้มีไข้ หรือเป็นหวัด เพียงแต่มีน้ำมูกไหล จึงใส่ผ้าปิดปากกันไว้เท่านั้น ดังนั้น ขอให้นายบวรศักดิ์เข้าร่วมประชุมได้  

 
จากนั้นกมธ. จากพรรคเพื่อไทย ได้สอบถามถึงพันธกิจของสถาบันฯ และกล่าวตำหนิว่า สถาบันต้องเป็นหลักในการออกมาต่อต้านการรัฐประหาร แต่การรัฐประหารครั้งที่ผ่านมา กลับไม่มีความเคลื่อนไหว รวมถึงการอภิปรายโจมตีรัฐธรรมนูญ 50 อาทิ นางฐิติมา ฉายแสง ส.ส.ฉะเชิงเทรา พรรคเพื่อไทย กมธ. กล่าวว่า รัฐธรรมนูญ 50 มีปัญหามากโดยเฉพาะ มาตรา 309 ขัดหลักประชาธิปไตยชัดเจน นอกจากนี้ นายนรนิติ เศรษฐบุตร อดีตเลขาธิการสถาบันฯ ไปร่วมร่าง ทำให้คนพูดกันว่า ศักดิ์ศรีเกียรติภูมิของสถาบันตกต่ำ

 
ขณะที่ นายซูการ์โน มะทา ส.ส.ยะลา พรรคเพื่อไทย กมธ. กล่าวว่า มีเพื่อนส.ส.ไปเรียนที่สถาบันฯ และกลับมาบอกว่า สถาบันฯไม่ให้เกียรติส.ส. ส.ว. และผู้มาบรรยายยังมองสภาในทางลบ บอกว่า ปัญหาในประเทศเกิดจากพฤติกรรมนักการเมือง และนักการเมืองไม่ดี ฉะนั้น แม้ผู้นำสถาบันฯจะรู้สึกไม่ดีต่อนักการเมือง ก็ขอให้อย่าแสดงออก เพราะสถาบันฯ มีพันธกิจในการพัฒนาประชาธิปไตย และไม่ควรนำบุคคลนั้นมาสอนอีก   


นายบวรศักดิ์ ชี้แจงว่า รัฐธรรมนูญ 2550 ตนไม่ได้ร่วมร่าง แต่ขณะนี้ สถาบันฯกำลังศึกษาผลกระทบการบังคับใช้อยู่ และจะเสนอต่อสาธารณะต่อไป และกำลังศึกษาแนวทางการปฏิรูปการเมืองให้เป็นแบบใหม่ และยืนยันว่า ตนต่อต้านการรัฐประหาร ส่วนที่ส.ส. บอกว่า โดนสถาบันฯดูถูก ยืนยันว่า บุคคลากรของสถาบันฯไม่ได้ดูถูกใคร ถ้าเลขาฯและรองเลขาฯทั้ง 2 คน มีพฤติกรรมดังกล่าวก็ต้องรับผิดชอบ แต่คิดว่า ไม่ใช่ผู้บริหารของสถาบันฯ อาจจะเป็นนักศึกษา หรืออาจารย์บางคนที่มาจากมหาวิทยาลัยที่มาบรรยาย อาจแสดงทัศนคติไม่ดีต่อนักการเมือง แต่ก็โดนตอบโต้ในห้องเรียนทันที เช่น นักเรียนแอนตี้ ซึ่งอาจารย์ก็ต้องรับผิดชอบคำพูดของตนเอง และสถาบันฯ จะพิจารณาเปลี่ยนผู้บรรยาย ทั้งนี้ สถาบันฯอยู่ได้เพราะรัฐสภา และยืนยันถึงความตั้งใจในการพัฒนาประชาธิปไตย นอกจากนี้ บ้านเมืองที่มีปัญหาส่วนหนึ่งเพราะ นักวิชาการ ให้ความเห็นมากกว่าให้ความรู้ สถาบันฯจึงเน้นการวิจัย


--
ขอเชิญอ่าน blog.Thank you so much.
http://www.parent-youth.net
http://itceoclub.ning.com
http://www.presscouncil.or.th
http://ilaw.or.th
http://www.thaihof.org
http://thainetizen.org
http://www.ictforall.org
http://elibrary.nfe.go.th
http://www.logex.kmutt.ac.th
http://www.thaisara.com
http://www.rmutr.ac.th
http://icann-ncuc.ning.com
http://www.webmaster.or.th
http://weblogcamp2009.blogspot.com
http://pwdhutch3.blogspot.com
http://energygreenhealth.com

วันพุธที่ 5 สิงหาคม พ.ศ. 2552

"สุรสิทธิ์" จำเลยคดีหวยลาออก ตร.ไปปักหลัก ตปท.

 
พล.ต.ต.สุรสิทธิ์ สังขพงศ์

 
 
 
 
 
หนีอีกราย! “สุรสิทธิ์” จำเลยคดีหวยลาออก ตร.ไปปักหลัก ตปท.
โดย ทีมข่าวอาชญากรรม 5 สิงหาคม 2552 19:27 น.
 
 
ตำรวจระบอบทักษิณ “พล.ต.ต.สุรสิทธิ์ สังขพงศ์” ลาออกจากราชการตำรวจ และล่าสุด เดินทางไปต่างประเทศแล้ว โดยมีแผนจะไปทำธุรกิจปักหลักในต่างประเทศ คาดอาจหนีโทษคดีหวยบนดิน
       
       วันนี้ (5 ส.ค.) ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) มีรายงานว่า พล.ต.ต.สุรสิทธิ์ สังขพงศ์ รองผู้บัญชาการประจำสำนักงานผู้บัญชาการประจำสำนักงานตำรวจแห่งชาติ อดีตผู้อำนวยการสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล ในสมัย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี และเป็นหนึ่งในผู้ถูกกล่าวหามีความผิดในคดีหวยบนดิน ได้ยื่นหนังสือลาออกจากราชการตำรวจต่อสำนักงานตำรวจแห่งชาติแล้ว ซึ่งกองกำลังพลได้รับเอกสารขอลาออกแล้ว ขณะนี้อยู่ในขั้นตอนทางธุรการ
       
       นอกจากนั้น มีขณะที่มีรายงานว่า พล.ต.ต.สุรสิทธิ์ ได้เดินทางไปต่างประเทศแล้ว โดยมีแผนจะไปทำธุรกิจปักหลักในต่างประเทศ ทั้งนี้ อาจเกี่ยวเนื่องกับการตัดสินคดีหวยบนดินที่จะเกิดขึ้นเร็วๆ นี้
       
       สำหรับคดีหมายเลขดำ อม.1/2551 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เป็นโจทก์ฟ้อง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี (จำหน่ายคดีออกจากสารบบความชั่วคราว) จำเลยที่ 1, อดีตคณะรัฐมนตรีชุดรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ จำเลยที่ 2-30 และผู้บริหารสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล (พล.ต.ต.สุรสิทธิ์) เป็นจำเลยที่ 31-47 ในความผิดฐานร่วมกันทำผิดยักยอกทรัพย์, เป็นเจ้าพนักงาน มีหน้าที่จัดการดูแลกิจการ เข้าไปมีส่วนได้ส่วนเสียเพื่อประโยชน์สำหรับตนเองหรือผู้อื่น และละเว้นไม่เรียกเก็บภาษีอากร และเป็นเจ้าพนักงาน ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติโดยมิชอบตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 147, 152, 153, 154, 157 และ ความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ พ.ศ.2502 มาตรา 3, 4, 8, 9, 10 และ 11 โดย ป.ป.ช.ขอให้ศาลมีคำสั่งให้จำเลยทั้งหมด ร่วมกันคืนเงินที่มีมติอนุมัติให้จ่ายไปรวมจำนวน 14,862,254,865.94 บาท ให้แก่สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลด้วย
       
       โดยคดีนี้อยู่ระหว่างศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ทำการไต่สวนพยานฝ่ายจำเลย มี นายสบโชค สุขารมณ์ รองประธานศาลฎีกา ว่าที่ประธานศาลฎีกาคนใหม่ เป็นเจ้าของสำนวน
       
       สำหรับ พล.ต.ต.สุรสิทธิ์ สังขพงศ์ ถือเป็นนายตำรวจที่มีความใกล้ชิดกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร โดยลาออกจากราชการตำรวจ มาเป็น ผอ.สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล เพื่อมาดูแลเกี่ยวกับเรื่องเงินหวยบนดิน ให้กับ รัฐบาลทักษิณ และเมื่อ ทักษิณ หมดอำนาจ และหนีโทษจำคุกไปอยู่ต่างประเทศ พล.ต.ต.สุรสิทธิ์ ได้ขอกลับเข้ารับราชการตำรวจ ในตำแหน่ง รองผู้บัญชาการประสำนักงานผู้บัญชาการประจำสำนักงานตำรวจแห่งชาติ จนกระทั่งการจัดโผโยกย้าย 152 นายพล ที่กำลังมีปัญหาอยู่ พล.ต.ต.สุรสิทธิ์ ก็ได้รับการแต่งตั้งขึ้นเป็น รองผู้บัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด (รอง ผบช.ปส.)
http://www.manager.co.th/Crime/ViewNews.aspx?NewsID=9520000088912


--
      Weblink
http://ilaw.or.th
www.patani-conference.net
http://www.thaihof.org
http://thainetizen.org
http://www.ictforall.org
http://elibrary.nfe.go.th
http://www.thaisara.com
http://www.rmutr.ac.th
http://www.bedo.or.th/default.aspx
http://weblogcamp2009.blogspot.com
http://seminarmon.blogspot.com
http://seminartue.blogspot.com
http://seminarwed.blogspot.com
http://seminarthu.blogspot.com
http://seminarfri.blogspot.com
http://seminar1951.blogspot.com
http://seminardd.com

วันอังคารที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2552

ทำการเมืองให้มีวุฒิภาวะ

หน้าแรกสยามรัฐออนไลน์|
 
 ทำการเมืองให้มีวุฒิภาวะ / บทบรรณาธิการ

บรรณาธิการ5/8/2552

                                                                ทำการเมืองให้มีวุฒิภาวะ

 

                นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าวในวันคล้ายวันเกิดปีที่ 45   ถึงสิ่งที่ต้องการเห็นคือ  บ้านเมืองสงบสุขและคนไทยมีความสุข  หมายถึงเศรษฐกิจฟื้นตัว  สังคมดีขึ้น  การเมืองเป็นประชาธิปไตยที่มีวุฒิภาวะ

                นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เห็นว่านั่นคือหน้าที่ของนายกรัฐมนตรี

                เราเห็นด้วยว่านายกรัฐมนตรีจะต้องทำงานเพื่อสร้างสิ่งเหล่านั้น

                แต่การจะบรรลุถึงความสำเร็จได้   ไม่ใช่นายกรัฐมนตรีทำคนเดียว

                ถ้านายกรัฐมนตรีนึกว่าเป็นหน้าที่ของฉันคนเดียว  แล้วก้มหน้าก้มตาทำอยู่คนเดียว   ก็จะเหมือนกับเด็กก่อกล่องกระดาษให้เป็นบ้านเป็นเมือง

                หน้าที่หลักของนายกรัฐมนตรีคือ   ปลูกฝังอุดมคติให้คนไทยทั้งมวลต้องการให้บ้านเมืองสงบสุข คนไทยมีความสุข  การเมืองเป็นประชาธิปไตยที่มีวุฒิภาวะ

                และสร้างเงื่อนไขที่สมบูรณ์พร้อมเพรียงสำหรับการบรรลุถึงสิ่งเหล่านั้น    เป็นต้นว่า  ระบบการศึกษา   แก้ไขปฏิรูปกฎหมายต่าง ๆ   ปฏิรูปสถาบันทางสังคมต่าง ๆ  ฯลฯ    

                ซึ่งเรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องใหญ่    นายกรัฐมนตรีที่ต้องวุ่นวายกับสารพันเรื่องราวทั้งเล็กทั้งใหญ่    ต้องออกงานทั้งงานรัฐและงานสังคม  ฯลฯ   ถูกพันธนาการรัดรึงไปหมดอย่างนายกรัฐมนตรีประเทศไทยนั้น    มักจะถูกงานประจำเรื่องเล็ก ๆ  ครอบงำเสียจนลืมภารกิจที่สำคัญที่สุดของตนเองไป

                นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ พอใจกับผลงานเรื่อง เรียนฟรี  และ เบี้ยยังชีพคนชรา   เพราะทำได้เร็วสมใจ    ซึ่งเราก็พอใจด้วย     แต่ทั้งนี้รัฐบาลก็ต้องเร่งแก้ไขปรับปรุงอุปสรรคข้อบกพร่องต่าง ๆ ให้เร็วด้วย  โดยเฉพาะเรื่องเบี้ยยังชีพคนชรา   

                นายกรัฐมนตรีกล่าวถึงปัญหาสำคัญทางเศรษฐกิจสังคมที่ท่านอยากแก้ไขขึ้นมาสองเรื่อง  ได้แก่เรื่องปัญหาพืชผลทางการเกษตร  และเรื่องระบบสวัสดิการคนยากคนจนคนด้อยโอกาส

                สิ่งเหล่านี้เป็นอุดมคติที่ยิ่งใหญ่   เป็นเรื่องยากแสนยาก  คนที่คิดทำเรื่องเหล่านี้จริงจังจึงสมควรยกย่อง

          ต่อปัญหาพืชผลทางการเกษตร  และสวัสดิการคนยากจนคนด้อยโอกาสนี้   ต้องทำถึงขั้นปฏิรูปเศรษฐกิจ  ปรับเปลี่ยนแนวคิดทางเศรษฐศาสตร์การเมือง  ปลูกฝังจิตสำนึกใหม่ให้เกิดขึ้นในสังคมไทย    จึงจะบรรลุความสำเร็จได้

                เพราะภายใต้ระบบเศรษฐกิจเสรีนิยมที่ไม่เป็นธรรมนี้    มีการเอารัดเอาเปรียบกันเป็นทอด ๆ ลงมา      ทุนข้ามชาติเอารัดเอาเปรียบทุนไทย   ทุนใหญ่ของไทยก็เอารัดเอาเปรียบทุนเล็ก    ในวงการค้าพืชผลเกษตร  พ่อค้านายทุนก็เอารัดเอาเปรียบเกษตรกร    ในวงการแรงงาน ทุนก็เอารัดเปรียบฝ่ายแรงงาน   

                การปฏิรูปเศรษฐกิจสังคมอันเป็นเรื่องใหญ่โตเช่นนี้   ต้องใช้เวลานาน

                งานเฉพาะหน้าที่นายกรัฐมนตรีต้องใส่ใจเป็นพิเศษ 

                คือทำการเมืองให้มีวุฒิภาวะก่อน

http://www.siamrath.co.th/uifont/Articledetail.aspx?nid=3877&acid=3877

--
ขอเชิญอ่าน blog.Thank you so much.
http://www.parent-youth.net
http://www.tzuchithailand.org
http://www.presscouncil.or.th
http://thainetizen.org
http://www.ictforall.org
http://www.narit.or.th
http://dbd-52.hi5.com
http://www.rmutr.ac.th
http://www.momypedia.com
http://www.thaisara.com
http://www.rmutr.ac.th
http://icann-ncuc.ning.com
http://www.webmaster.or.th
http://weblogcamp2009.blogspot.com

วันอาทิตย์ที่ 2 สิงหาคม พ.ศ. 2552

แนวร่วม"ทักษิณ"เปิดเกมรุก รัฐบาลตั้งรับ สะพัด "ประชาธิปัตย์" ร้าว

 

วันที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2552 ปีที่ 32 ฉบับที่ 11460 มติชนรายวัน


แนวร่วม"ทักษิณ"เปิดเกมรุก รัฐบาลตั้งรับ สะพัด "ประชาธิปัตย์" ร้าว


วิเคราะห์




ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อเมื่อถึงวันเกิดของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี อดีตหัวหน้าพรรคไทยรักไทย และเป็นนักโทษตามคำพิพากษาศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง

การเมืองไทยกลับกลายเป็นเรื่องของ พ.ต.ท.ทักษิณ

กลบกระแสข่าวการเมืองอื่นๆ ลงไปอย่างสิ้นเชิง

ทั้งเรื่องน่าชวนติดตามกรณีบิ๊กเซอร์ไพรส์ ที่ พ.ต.ท.ทักษิณจะกระทำขึ้นในวันคล้ายวันเกิด

ทั้งเรื่องคนเสื้อแดงร่วมกันจัดงานวันเกิดให้แก่ พ.ต.ท.ทักษิณทั้งในกรุงเทพฯและต่างจังหวัดอีก 11 แห่ง

ทั้งเรื่องการนำเสนอโปรโมชั่นเพื่อคนไทย เช่น การแจกทุน การจ้างติวเตอร์สอนนักเรียนทางโทรทัศน์ เพื่อให้โอกาสเด็กเรียนเก่ง

กระแสดังกล่าวกลบความเคลื่อนไหวทางการเมืองที่กำลังขยายแนวออกไปอย่างเงียบๆ

เป็นการขยายแนวทางการต่อสู้ทางการเมืองของอดีตกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทยระดับแกนนำที่เคลื่อนไหวในรูปแบบของ "สถาบัน" แยกจากพรรคการเมืองอย่างพรรคเพื่อไทย

ความเคลื่อนไหวหนึ่งที่น่าจับตาคือ การเคลื่อนไหวของสถาบันศึกษาการพัฒนาประชาธิปไตย ที่มีนายจาตุรนต์ ฉายแสง อดีตหัวหน้าพรรคไทยรักไทย เป็นหัวหอก

อีกความเคลื่อนไหวหนึ่งคือ การจัดตั้งสถาบันสร้างสานอนาคตไทย ซึ่งมีชื่อคุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ เป็นประธานที่ปรึกษา นพ.ยงยุทธ พลอยส่องแสง นายสุวิทย์ มาไพศาลสิน เป็นที่ปรึกษา

ขณะที่ผู้ก่อตั้งมีนายอนุสรณ์ ธรรมใจ เป็นผู้อำนวยการ นายสมพรต สาระโกเศศ นายสุนัย เศรษฐ์บุญสร้าง เป็นรองผู้อำนวยการ และเฉลิมชัย จีนะวิจารณะ เป็นเลขาธิการ

คณะกรรมการผู้ก่อตั้ง

ทั้งสถาบันศึกษาการพัฒนาประชาธิปไตย และสถาบันสร้างสานอนาคตไทย ต่างประกาศจุดยืนไม่ยุ่งเกี่ยวกับการเมือง

หากแต่แนวทางการเคลื่อนไหวของทั้ง 2 สถาบันกลับยืนอยู่ตรงกันข้ามกับรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ ที่มีนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นนายกรัฐมนตรีอย่างเห็นได้ชัด

นายจาตุรนต์ชูธงเรื่องประชาธิปไตย และต่อต้านเผด็จการทหาร

เป็นการเคลื่อนไหวเชิงวิชาการในภาคการเมือง

คุณหญิงสุดารัตน์ชูธงเรื่องการเสวนา โดยจะเปิดตัวการเสวนาครั้งแรกในวันที่ 31 กรกฎาคม ที่โรงแรมเซ็นทารา แกรนด์ เซ็นทรัลเวิลด์ มีองค์ปาฐกคือ นายวีระพงษ์ รางมางกูร บรรยายเรื่อง "เศรษฐกิจไทยครึ่งปีหลัง" และเสวนาเรื่อง "เศรษฐกิจไทย ไทยจะเข้มแข็งจริงหรือ" โดยนายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองผู้อำนวยการฝ่ายวิชาการ สถาบันบัณฑิตบริหารธุรกิจศศินทร์ และนายศุภวุฒิ สายเชื้อ กรรมการผู้จัดการสายงานวิชัย บริษัทหลักทรัพย์ภัทร จำกัด (มหาชน)

เป็นการเคลื่อนไหวเชิงวิชาการในภาคเศรษฐกิจ

ถือเป็นการก้าวย่างของบุคคลในบ้านเลขที่ 111

ถือเป็นการเปิดเกมรุกทางวิชาการที่มีผลต่อการเคลื่อนไหวของรัฐบาลทั้งในเรื่องการเมือง ผลงานรัฐบาล และเรื่องเศรษฐกิจ

ขณะที่ฝ่ายรัฐบาล แม้เวลาการบริหารจะล่วงเลยมาถึงเดือนที่หก แต่ดูเหมือนว่า รัฐบาลไม่สามารถขับเน้นผลงานออกมาให้แลเห็นได้แจ่มชัด

ไม่ว่าจะเป็นเรื่องสมานฉันท์ ที่พรรคเพื่อไทยกำลังรอฟังคำตอบจากนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ว่าจะดำเนินการอย่างไรต่อไปหลังจากคณะกรรมการสมานฉันท์ส่งเรื่องไปให้

ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ ที่มีข้อสงสัยเรื่องรายละเอียดการใช้งบประมาณ

และเรื่องการแก้ไขปัญหาให้สังคม โดยเฉพาะการควบคุมการแพร่ระบาดของไข้หวัด 2009 ที่กำลังคร่าชีวิตคนไทยไปเรื่อยๆ

เมื่อรัฐบาลไม่สามารถแสดงผลงานของตัวเองออกมาได้ จึงทำให้การเคลื่อนไหวของฝ่าย พ.ต.ท.ทักษิณ และแนวร่วมคึกคักกว่า

กระแสงานวันคล้ายวันเกิด พ.ต.ท.ทักษิณ จึงกลายเป็นประเด็นทางการเมืองไป

ขณะที่ฝ่ายรัฐบาลตกอยู่ในสภาพตั้งรับ !

และยังเป็นการตั้งรับท่ามกลางข่าวคราวความขัดแย้งภายในพรรคประชาธิปัตย์อีกด้วย

ไม่ว่าจะเป็นข่าวความขัดแย้งที่สะท้อนออกมาจากคำพูดของนายไตรรงค์ สุวรรณคีรี ที่มีต่อการตัดสินใจลาออกจากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ภายหลังจากคณะกรรมการการเลือกตั้งตัดสินเรื่องการถือหุ้นว่า เข้าข่ายความผิดที่ต้องพ้นเก้าอี้ ส.ส.

และไม่ว่าจะเป็นข่าวความเห็นที่แตกต่างระหว่างนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ กับนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ในประเด็นเกี่ยวเนื่องจากการทำงานของ พล.ต.อ.ธานี สมบูรณ์ทรัพย์ รอง ผบ.ตร. กับการบังคับบัญชาของ พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผบ.ตร. ในคดีลอบยิงนายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย

ข่าวคราวดังกล่าวเกิดขึ้นและแพร่กระจายออกไป

จนกระทั่งมีการลือว่า "ปลดพัชรวาท"

ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้น แม้จะเป็นปรากฏการณ์ที่คงสะท้อนภาพการเผชิญหน้าทางการเมืองระหว่างแนวร่วม พ.ต.ท.ทักษิณ กับรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ เหมือนเดิม

เป็นปรากฏการณ์ที่สะท้อนให้เห็นการรุกของแนวร่วม พ.ต.ท.ทักษิณ

เป็นเหตุการณ์ที่สะท้อนให้เห็นว่ารัฐบาลเป็นฝ่ายตั้งรับ

เพียงแต่ที่ผ่านมา แม้ พ.ต.ท.ทักษิณจะรุก แต่รัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ก็ตั้งรับอย่างพร้อมเพรียง

ส่วนครั้งนี้กลับปรากฏความแตกต่าง

กลับมีข่าวคราวพรรคประชาธิปัตย์ขัดแย้งกันภายใน

หน้า 3
http://www.matichon.co.th/matichon/view_news.php?newsid=01col01260752&sectionid=0116&day=2009-07-26


--
      Weblink
http://ilaw.or.th
www.patani-conference.net
http://www.thaihof.org
http://thainetizen.org
http://www.ictforall.org
http://elibrary.nfe.go.th
http://www.thaisara.com
http://www.rmutr.ac.th
http://www.bedo.or.th/default.aspx
http://weblogcamp2009.blogspot.com
http://seminarmon.blogspot.com
http://seminartue.blogspot.com
http://seminarwed.blogspot.com
http://seminarthu.blogspot.com
http://seminarfri.blogspot.com
http://seminar1951.blogspot.com
http://seminardd.com

วันเสาร์ที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2552

โยกย้ายใหญ่ 70 เก้าอี้ ชิงปลัดมท. 3 ตัวเต็ง"มานิต-อนุชา-วงศ์ศักดิ์" ปชป.งัดข้อภท.เลือกปลัดพาณิชย์

วันที่ 01 สิงหาคม พ.ศ. 2552 เวลา 21:29:41 น.  มติชนออนไลน์

โยกย้ายใหญ่ 70 เก้าอี้ ชิงปลัดมท. 3 ตัวเต็ง"มานิต-อนุชา-วงศ์ศักดิ์" ปชป.งัดข้อภท.เลือกปลัดพาณิชย์

จับตาข้าราชการระดับบิ๊กเกษียณปี 52 กว่า 70 ตำแหน่ง มหาดไทยมากสุด 22 คน อย่ากระพริบตาชิงปลัดมท. 3 ตัวเต็ง "มานิต-อนุชา-วงศ์ศักดิ์" กองหนุนแข็งโป๊ก ชิงปลัดพาณิชย์ไม่ลงตัว ปชป.-ภท.เห็นไม่ตรงกัน

ผู้สื่อข่าวรายงานเมื่อวันที่ 1 สิงหาคมว่า สิ้นเดือนกันยายนนี้ จะมีผู้บริหารระดับสูงของหน่วยราชการต่างๆ เกษียณอายุราชการเป็นจำนวนมาก แต่มีเฉพาะกระทรวงสำคัญๆ เท่านั้นที่มักจะได้รับความสนใจจากสาธารณชน อาทิ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงการคลัง กระทรวงคมนาคม กระทรวงพลังงาน กระทรวงอุตสาหกรรม และกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นต้น


รายงานข่าวจากกระทรวงมหาดไทยแจ้งว่า ได้จัดทำรายชื่อผู้บริหารระดับสูงที่จะเกษียณอายุราชการประจำปีงบประมาณ 2552 ในเดือนกันยายนนี้ จำนวน 22 ตำแหน่ง ประกอบด้วย
1.นายวิชัย ศรีขวัญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย
2.นายสุธี มากบุญ รองปลัดกระทรวงมหาดไทย
3.นายชัยฤกษ์ ดิษฐอำนาจ ผู้ตรวจราชการกระทรวงมหาดไทย
4.นายไตรสิทธิ์ สินสมบูรณ์ทอง ผู้ตรวจฯ
5.นายรังสรรค์ เพียรอดวงษ์ ผู้ตรวจฯ
6.นายสมศักดิ์ เลิศบรรณพงษ์ ผู้ตรวจฯ
7.นายสุวัฒน์ ตันประวัติ ผู้ตรวจฯ
8.นางพรรณี แก่นสุวรรณ ผู้ตรวจฯ
9.นายศิวะ ศิริเสาวลักษณ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดกระบี่
10.นายเดชา ตันติยวรงค์ ผู้ว่าฯกาฬสินธุ์
11.นายสมพงษ์ อนุยุทธพงศ์ ผู้ว่าฯตรัง
12.นายชนินทร์ บัวประเสริฐ ผู้ว่าฯนครปฐม
13.นายเชิดวิทย์ ฤทธิประศาสน์ ผู้ว่าฯนนทบุรี
14.นายปานชัย บวรรัตนปราณ ผู้ว่าฯประจวบคีรีขันธ์
15.นายประณีต บุญมี ผู้ว่าฯมุกดาหาร
16.นายธงชัย วงษ์เหรียญทอง ผู้ว่าฯแม่ฮ่องสอน
17.นายจารุพงศ์ พลเดช ผู้ว่าฯลพบุรี
18.นายสมบูรณ์ ศรีพัฒนาวัฒน์ ผู้ว่าฯลำปาง
19.นายมานิตย์ มกรพงศ์ ผู้ว่าฯเลย
20.นายสนธิ เตชานันท์ ผู้ว่าฯสงขลา
21.นายธนเษก อัศวานุวัตร ผู้ว่าฯสระบุรี และ
22.นายศุทธนะ ธีวีระปัญญา ผู้ว่าฯอ่างทอง


ผู้บริหารระดับต้นอีก 20 ตำแหน่ง


สำหรับตำแหน่งประเภทบริหารระดับต้น จำนวน 20 ตำแหน่ง ได้แก่
1.นายธันวาคม เขมะศิริ รองผู้ว่าฯกระบี่
2.นายถาวร เฉิดพันธุ์ รองผู้ว่าฯกำแพงเพชร
3.นายสุขสันต์ วนะภูติ รองผู้ว่าฯฉะเชิงเทรา
4.นายสุนทร ประทุมทอง รองผู้ว่าฯนครศรีธรรมราช
5.นายวิบูลย์ชัย เกิดเพิ่มพูน รองผู้ว่าฯนครสวรรค์
6.นายเพิ่มศักดิ์ สีทองสุรภณา รองผู้ว่าฯพระนครศรีอยุธยา
7.นายดำรง อารีกิจ รองผู้ว่าฯพะเยา
8.น.ส.ดวงใจ ช.บุญพันธ์ รองผู้ว่าฯพัทลุง
9.นายอรชุณห์ นุ้ยบ้านด่าน รองผู้ว่าฯพัทลุง
10.นายวิชชาญ บุษปวณิช รองผู้ว่าฯเพชรบูรณ์
11.นายบรรหาร บูรณะประภา รองผู้ว่าฯลำพูน
12.นายเฉลิมศักดิ์ วงศ์ศิริวัฒน์ รองผู้ว่าฯสระแก้ว
13.นายสนิท บุญก่อสกุล รองผู้ว่าฯสุราษฎร์ธานี
14.นายชัยวัฒน์ รัฐขจร รองผู้ว่าฯหนองคาย
15.นายกฤษเพชร ศรีปาน รองผู้ว่าฯอุดรธานี
16.นายธีระเดช วงษ์ราชธ์ รองผู้ว่าฯอุดรธานี
17.นายสุรพล ภาษิตนิรันดร์ รองอธิบดีกรมการปกครอง
18.นายสุชาติ สุวรรณ รองอธิบดีกรมพัฒนาชุมชน
19.นายประทีป เจริญพร รองอธิบดีกรมที่ดิน และ
20.นายเอกวิทย์ ถิระพร รองอธิบดีกรมโยธาธิการและผังเมือง


เผย 3 แคนดิเดต"ปลัดมหาดไทย"


รายงานข่าวแจ้งว่า สำหรับตำแหน่งปลัดกระทรวงมหาดไทย เริ่มมีกระแสข่าวการวิ่งเต้นของอธิบดีกรมต่างๆ เพื่อเข้าสู่ตำแหน่ง ส่วนแคนดิเดตที่มาแรงในขณะนี้ คือนายมานิต วัฒนเสน อธิบดีกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น (สถ.) เนื่องจากเป็นคนสนิทกลุ่มนายเนวิน ชิดชอบ แกนนำกลุ่มเพื่อนเนวิน พรรคภูมิใจไทย ที่พยายามผลักดันเข้าสู่ตำแหน่ง แต่ยังคงมีกระแสคัดค้านจากหลายฝ่าย เนื่องจากนายมานิตมีอาวุโสอยู่ในลำดับที่ 8 ส่วนแคนดิเดตอีกคนคือนายอนุชา โมกขะเวส อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) อาวุโสลำดับที่ 1 และสนิทสนมกับผู้ใหญ่สายทหาร รวมถึงกับพรรคประชาธิปัตย์เป็นอย่างดี ยังมีนายวงศ์ศักดิ์ สวัสดิ์พาณิชย์ อธิบดีกรมการปกครอง ที่โดยธรรมเนียมแล้วอธิบดีกรมการปกครองจะได้ขึ้นเป็นปลัดกระทรวงมหาดไทยมาโดยตลอด อีกทั้งมีความสนิทสนมกับคนในครอบครัวนายเนวินอย่างดี

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การแต่งตั้งโยกย้ายในกระทรวงมหาดไทยช่วงปลายเดือนสิงหาคมต่อเดือนกันยายนนี้ จะมีการแต่งตั้งโยกย้ายทั้งหมดประมาณ 60-70 ตำแหน่ง ขณะนี้คณะกรรมการสรรหาผู้ว่าฯ ที่มีนายสุธี มากบุญ เป็นประธาน และรองปลัดกระทรวงทั้งหมดเป็นกรรมการสรรหา อยู่ระหว่างกำหนดหลักเกณฑ์ จากนั้นจึงจะเข้าสู่กระบวนการต่อไป


คลังได้ชิง 3 อธิบดีกรมใหญ่


ส่วนกระทรวงการคลังแหล่งข่าวเปิดเผยว่า มีข้าราชการระดับอธิบดีที่จะเกษียณอายุ วันที่ 30 กันยายน 2552 ได้แก่
1.นายอุทิศ ธรรมวาทิน รองปลัดกระทรวงการคลัง
2.นายวิสุทธิ์ ศรีสุพรรณ อธิบดีกรมศุลกากร
3.นางสิรินุช พิศลยบุตร อธิบดีกรมสรรพสามิต และ
4.นายปิยะพันธุ์ นิมมานเหมินท์ อธิบดีกรมบัญชีกลาง
บุคคลที่คาดว่าน่าจะได้รับการแต่งตั้งนั่งแทน ประกอบด้วยนายพงษ์ภาณุ เศวตรุนทร์ ผู้อำนวยการสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) ที่ถูกคาดหมายว่าจะได้เป็นอธิบดีกรมสรรพสามิต ขณะที่นางสุภา ปิยะจิตติ รองปลัดกระทรวงการคลัง คาดหมายว่าอาจจะถูกโยกกลับมาเป็นอธิบดีกรมบัญชีกลาง เพราะเคยดำรงตำแหน่งรองอธิบดีกรมบัญชีกลางมาก่อนและยังเป็นรองปลัดที่มีอาวุโสสูงสุด

รายงานข่าวแจ้งว่า ขณะที่กรมศุลกากรยังไม่ชัดเจน โดยคาดว่าอาจจะเป็นนายนริศ ชัยสูตร หัวหน้าผู้ตรวจราชการ เพราะมีกระแสข่าวก่อนหน้าว่าอาจจะได้รับการแต่งตั้งให้เป็นอธิบดีกรมศุลกากร ตั้งแต่ตอนโยกย้ายนายอุทิศจากอธิบดีกรมศุลกากรมาเป็นรองปลัดกระทรวงทั้งที่เหลืออายุราชการเพียง 3 เดือนเท่านั้น


"สุพจน์"มาแรงปลัดคมนาคม


ด้านกระทรวงคมนาคม มีผู้บริหารระดับสูงเกษียณอายุหลายคน ประกอบด้วย
1.นายสุรชัย ธารสิทธิพงศ์ ปลัดกระทรวงคมนาคม
2.นายประสงค์ ตันมณีวัฒนา ผู้ตรวจราชการกระทรวงคมนาคม
3.นายระพินทร์ จารุดล ผู้ตรวจราชการกระทรวงคมนาคม
4.นายไมตรี ศรีนราวัฒน์ รองปลัดกระทรวงคมนาคม
5.นางกรรณิการ์ เขมาวุฒานนท์ อธิบดีกรมการขนส่งทางอากาศ
โดยในตำแหน่งปลัดกระทรวงนั้น บุคคลที่คาดว่าน่าจะได้รับการแต่งตั้ง คือ นายสุพจน์ ทรัพย์ล้อม อธิบดีกรมทางหลวง ซึ่งมีผลงานโดดเด่น อีกทั้งทำงานเข้าขากับทุกพรรคการเมือง ขณะที่ตำแหน่งอธิบดีกรมการขนส่งทางอากาศ คาดว่า นายวุฒิชัย สิงหมณี รองอธิบดีกรมการขนส่งทางอากาศน่าจะได้รับการพิจารณา


สะพัดปลัดพลังงานอาจ"เออร์ลี่"


ในส่วนของกระทรวงพลังงานนั้น ข้าราชการที่จะเกษียณอายุราชการปีนี้มีเพียงนายพานิช พงศ์พิโรดม ผู้ตรวจราชการกระทรวงพลังงาน แหล่งข่าวเปิดเผยว่า ขณะนี้มีกระแสข่าวต่อเนื่องว่า นายพรชัย รุจิประภา ปลัดกระทรวงพลังงาน ที่กำหนดเกษียณอายุราชการในปี 2555 มีแนวโน้มว่าอาจจะขอเกษียณอายุราชการก่อนกำหนด (เออร์ลี่ รีไทร์) และอาจจะมีการแต่งตั้งนายณอคุณ สิทธิพงษ์ รองปลัดกระทรวงกระทรวงพลังงานขึ้นเป็นปลัดกระทรวงแทน เนื่องจากที่ผ่านมาได้รับความไว้วางใจให้ดูแลงานที่สำคัญๆ


"2 อธิบดี"ตัวเก็งปลัดอุตสาหกรรม


ในส่วนของกระทรวงอุตสาหกรรม มีข้าราชการระดับสูงเกษียณอายุราชการ ได้แก่ นายดำริ สุโขธนัง ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม นายรัชดา สิงคาลวณิช รองปลัดฯ โดยในตำแหน่งปลัดกระทรวง บุคคลที่เป็นตัวเก็งน่าจะได้รับการแต่งตั้ง ประกอบด้วย นายปราโมทย์ วิทยาสุข อธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม นายวิฑูรย์ สิมะโชคดี อธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม และอาจจะมีนายโกศล ใจรังสี รองปลัดกระทรวง เป็นตัวสอดแทรก ซึ่งคาดว่านายปราโมทย์มีโอกาสมากที่สุดเนื่องจากสามารถประสานกับฝ่ายการเมืองได้เป็นอย่างดี อีกทั้งยังมีความใกล้ชิดกับนายดำริ


"จับตาปลัดพาณิชย์"ปชป."งัด"ภท."


ในส่วนกระทรวงพาณิชย์น่าจับตามากสุด เนื่องจากมีการแข่งขันกันสูง และมีความเห็นไม่ตรงกันของพรรคร่วมรัฐบาล ระหว่างพรรคประชาธิปัตย์และพรรคภูมิใจไทย โดยข้าราชการระดับสูงที่จะเกษียณอายุในปีนี้ ได้แก่ นายศิริพล ยอดเมืองเจริญ ปลัดกระทรวงพาณิชย์ นางอภิรดี ตันตราภรณ์ รองปลัดกระทรวงพาณิชย์ นางพวงรัตน์ อัศวพิศิษฐ์ อธิบดีกรมทรัพย์สินทางปัญญา นายชนะ คณะรัตนดิลก รองอธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ และนางผานิต หล่อตระกูล รองอธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า


รายงานข่าวแจ้งว่าหากพิจารณาตามลำดับความอาวุโส ตัวเก็งที่ได้รับการคาดหมายว่าจะขึ้นเป็นปลัดน่าจะเป็นนายยรรยง พวงราช อธิบดีกรมการค้าภายใน รองลงมาคือ นายราเชนทร์ พจนสุนทร อธิบดีกรมส่งเสริมการส่งออก และนางสาวชุติมา บุณยะประภัศร อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ ซึ่งเพิ่งได้การแต่งตั้ง โดยนางพรทิวา นาคาศัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เพิ่งมีคำสั่งให้ย้ายจากอธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ อีกทั้งยังสามารถทำงานประสานงานได้ดีกับนายกอร์ปศักดิ์ สภาวสุ รองนายกรัฐมนตรี ที่ดูแลงานเกษตรทั้งระบบ


รายงานข่าวแจ้งว่า ขณะนี้เริ่มมีกระแสข่าวลือว่า ฝ่ายการเมืองอาจจะผลักดันคนนอกเข้ามาเป็นปลัดกระทรวงพาณิชย์ ซึ่งบุคคลที่ได้รับการวางตัว คือ นายอำพน กิตติอำพน เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ซึ่งมีผลงานเข้าตาฝ่ายการเมือง โดยเฉพาะพรรคภูมิใจไทย


"ยุคล-ธวัชชัย"ชิงดำปลัดเกษตรฯ


ในส่วนกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ปีนี้มีข้าราชการที่จะเกษียณอายุ ได้แก่ ปลัดกระทรวงเกษตรฯ เลขาธิการสำนักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ (มกอช.) อธิบดีกรมพัฒนาที่ดิน และผู้ตรวจราชการกระทรวงเกษตรฯ อีก 3-4 ตำแหน่ง โดยในส่วนของนายจรัลธาดา กรรณสูต ปลัดกระทรวงเกษตรฯที่จะเกษียณอายุนั้น ตัวเก็งที่คาดหมายว่าน่าจะได้รับการแต่งตั้ง 3 คน คือ นายธวัชชัย สำโรงวัฒนา รองปลัดกระทรวงเกษตรฯ นายยุคล ลิ้มแหลมทอง อธิบดีกรมปศุสัตว์ และนางสาวสุพัตรา ธนเสนีวัฒน์ รองปลัดกระทรวงเกษตรฯ


รายงานข่าวแจ้งว่าทั้งนี้ในส่วนของนายธวัชชัยมีความสนิทสนมกับนายบรรหาร ศิลปอาชา อดีตหัวหน้าพรรคชาติไทย เคยไปช่วยให้คำปรึกษาด้านกฎหมายให้หลายครั้ง ปัจจุบันยังได้รับมอบหมายให้ดูแลแก้ไขปัญหาราคาลำไยตกต่ำ ขณะที่นายยุคล แม้มีผลงานโดดเด่นหลายเรื่อง โดยเฉพาะงานแก้ไขปัญหาไข้หวัดนก แต่เนื่องจากมีอายุราชการเหลือแค่ 1 ปีเท่านั้น ขณะที่นายธวัชชัยมีอายุราชการเหลืออีก 4 ปี ส่วนนางสาวสุพัตรา แม้ว่าอาวุโสสูงสุด แต่เนื่องจากผู้นั่งปลัดกระทรวงจะต้องทำหน้าที่เป็นพระยาแรกนาในงานราชพิธีพืชมงคลเป็นประจำทุกปี จึงอาจเป็นอุปสรรคบ้าง จึงมีตัวเก็งอยู่เพียง 2 คน คาดว่าจะได้ข้อยุติชัดเจนภายในต้นเดือนกันยายนนี้


"สิงห์ทอง"ได้ลุ้น"อธิบดีกรมใหม่"


"ยืนยันว่าตำแหน่งปลัดเกษตรฯคนใหม่ จะไม่เป็นคนนอกแน่นอน เนื่องจากผู้ใหญ่ในกระทรวงทุกคน ยืนยันตรงกันว่า คนในกระทรวงเกษตรฯ ก็มีความรู้ความสามารถไม่จำเป็นต้องพึ่งคนนอกแต่อย่างใด"แหล่งข่าวกล่าว และว่า ในปีนี้ หากกระทรวงเกษตรฯสามารถเสนอเรื่องขอจัดตั้งกรมหม่อนไหมได้สำเร็จ ก็จะทำให้มีตำแหน่งอธิบดีเพิ่มขึ้นอีกตำแหน่ง ซึ่งตอนนี้ ก็มีการกำหนดตัวไว้แล้วว่า คนที่เหมาะสมจะดำรงตำแหน่งนี้ คือ นายสิงห์ทอง ชินวรรังสี หัวหน้าผู้ตรวจราชการกระทรวงเกษตรฯ

http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1249130702&grpid=00&catid=01

--
ขอเชิญอ่าน blog.Thank you so much.
http://www.parent-youth.net
http://www.familynetwork.or.th
http://www.tzuchithailand.org
http://www.presscouncil.or.th
http://ilaw.or.th
http://thainetizen.org
http://www.ictforall.org
http://icann-ncuc.ning.com
http://dbd-52.hi5.com
http://www.webmaster.or.th
http://www.thailandshowtime.com/2009

ลุยประชาพิจารณ์เจาะอุโมงค์ทางลอดเมืองโคราช



 

วันที่ 01 สิงหาคม พ.ศ. 2552 เวลา 17:23:55 น.  มติชนออนไลน์

ลุยประชาพิจารณ์เจาะอุโมงค์ทางลอดเมืองโคราช

จากกรณีกรมทางหลวงจะดำเนินการก่อสร้างอุโมงค์ทางลอดถนน บริเวณสามแยกนครราชสีมาด้วยงบประมาณ 400 ล้านบาท แต่มีกระแสคัดค้านอย่างหนัก จากผู้พักอาศัยและเจ้าของร้านค้าในเส้นทางอุโมงค์ทางลอดพาดผ่านนั้น ล่าสุด เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม ที่สำนักแขวงการทางนครราชสีมาที่ 2 ถนนสุรนารายณ์ อ.เมืองนครราชสีมา นายสามารถ ดีด้วยชาติ ผู้อำนวยการสำนักแขวงการทางนครราชสีมาที่ 2 ร่วมลงนามทำหนังสือสัญญาจ้างการสำรวจความเห็นกับ ผศ.ดร.สมประสงค์ สัตยมัลลี รักษาการแทน หัวหน้าสาขาวิชาวิศวกรรมขนส่ง ผู้แทนอธิการบดีมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี นครราชสีมา (มทส.) ที่เป็นคู่สัญญา


ผศ.ดร.สมประสงค์เปิดเผยว่า มทส.ร่วมกับมหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมาจะประชาสัมพันธ์โครงการอีกครั้ง ชี้ให้เห็นถึงข้อดีและข้อเสียของโครงการ เพื่อให้ประชาชนทุกภาคส่วนมีส่วนร่วมแสดงความเห็นว่าต้องการหรือไม่ เมื่อได้ครบ 3,000 ตัวอย่างจะนำผลสรุปทั้งหมดเข้าที่ประชุมระดับจังหวัด และนำประกาศในระบบสารสนเทศ ของสำนักนายกรัฐมนตรี     


นายสามารถกล่าวว่า หากผลออกมาว่าไม่ต้องการ ทางสำนักแขวงการทางจะส่งงบฯคืนให้กับสำนักงบประมาณ แต่ถ้าผลออกมาประชาชนส่วนใหญ่ต้องการ ก็จะดำเนินโครงการให้แล้วเสร็จภายในระยะเวลาประมาณ 2 ปี


ด้านทันตแพทย์ศุภผล เอี่ยมเมธาวี แกนนำภาคีมวลชนคนโคราชรักษ์ประชาธิปไตย เผยว่า มติในที่ประชุมร่วมหลายฝ่าย จะมีคำร้องยื่นต่อศาลปกครองนครราชสีมา หากจะดำเนินการก่อสร้างโครงการ


-- http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1249122277&grpid=03&catid=01
ขอเชิญอ่าน blog.Thank you so much.
http://www.parent-youth.net
http://www.familynetwork.or.th
http://www.tzuchithailand.org
http://www.presscouncil.or.th
http://ilaw.or.th
http://thainetizen.org
http://www.ictforall.org
http://icann-ncuc.ning.com
http://dbd-52.hi5.com
http://www.webmaster.or.th
http://www.thailandshowtime.com/2009

--
ขอเชิญอ่าน blog.Thank you so much.
http://www.parent-youth.net
http://www.familynetwork.or.th
http://www.tzuchithailand.org
http://www.presscouncil.or.th
http://ilaw.or.th
http://thainetizen.org
http://www.ictforall.org
http://icann-ncuc.ning.com
http://dbd-52.hi5.com
http://www.webmaster.or.th
http://www.thailandshowtime.com/2009

ปฏิรูปช่อง 11 ทำได้จริงๆ เหรอ?

ปฏิรูปช่อง 11 ทำได้จริงๆ เหรอ?
โดย ASTVผู้จัดการรายวัน 28 กรกฎาคม 2552 18:45 น.


คลิกที่ภาพเพื่อดูขนาดใหญ่ขึ้น




ก้อย รัชวิน วงศ์วิริยะ

ช่วงนี้แอบได้ยินข่าวว่า รัฐบาลโอบามาร์คกำลังมีแผนการใหญ่ที่จะยกเครื่องช่อง 11 ซะใหม่ ให้กลายเป็นทีวีของรัฐ เพื่อบริการประชาชนอย่างแท้จริง หวังลบภาพความเป็นสถานีโทรทัศน์สำหรับนักการเมือง หลังจากที่ถูกตราหน้าจากบรรดาผู้ชมว่ามาเกือบ 10 ปี และอีกเรื่องที่สำคัญก็คือต้องการให้ช่อง 11 มีผู้ชมมากขึ้นกว่านี้ ไม่ใช่พอกดรีโมตมาเจอช่อง 11 ก็ต้องรีบเปลี่ยนช่องหนี ทำราวกับช่อง 11 เป็นสิ่งปฏิกูลซะอย่างนั้น
       
       แต่ทั้งนี้ การจะปฏิรูปก็ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ อย่างการเมืองไทยที่ว่าแน่ๆ ปฏิรูปกันมาตั้งหลายทศวรรษ ป่านนี้ยังไปไม่ถึงไหน แล้วยิ่งช่อง 11 ที่ได้ชื่อว่าเป็นกระบอกเสียงชั้นดีของรัฐบาลในการโปรโมตตัวเอง และโจมตีฝ่ายตรงข้ามด้วยแล้ว อย่างนี้จะไปรอดได้เหรอ

       
       ย้อนกลับไปดูอดีต และปัจจุบันของช่อง 11 ว่าเป็นอย่างไร เพื่อที่ทุกคนจะได้เห็นความเป็นไปได้ของการปฏิรูปในครั้งนี้ว่าจะมีทางเป็นจริงได้หรือไม่

       
       ย้อนรอยการเมืองกับช่อง 11
       
       ย้อนกลับไปเมื่อ 20 ปีที่แล้ว เป็นที่รับรู้กันโดยทั่วไปว่า เมื่อพูดถึงช่อง 11 คงจะนึกภาพอื่นไม่ได้ นอกจากสถานีโทรทัศน์เพื่อการศึกษา ที่มักจะมีอาจารย์จากมหาวิทยาลัยรามคำแหงและสุโขทัยธรรมาธิราช มานั่งสอนหนังสือเพื่อพัฒนาสติปัญญาของผู้ชมทางบ้าน หรือไม่ก็เป็นพวกรายการสารคดี รายการสำหรับเด็ก ซึ่งส่วนใหญ่นำเข้ามาจากช่อง NHK ของญี่ปุ่น ส่วนรายการบันเทิงหรือรายการการเมืองหนักๆ นั้นถือว่ามีสัดส่วนน้อยมาก แถมท้ายด้วยช่วงบ่ายๆ ยังมีโปรโมชั่นพิเศษ ปิดสถานีชั่วคราว เป็นเวลา 3 ชั่วโมงเพื่อประหยัดพลังงาน
       
       แต่พอมาถึงยุครัฐบาล ‘หลงจู้’ บรรหาร ศิลปอาชา และ รัฐบาล ‘ขงเบ้ง’ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ซึ่งส่งดาวสภาอย่าง ปิยะณัฐ วัชราภรณ์ เจ้าของวาระเด็ด “เก็บอุดมการณ์ใส่ลิ้นชัก” มานั่งบัญชาการกรมประชาสัมพันธ์ ทิศทางและภาพลักษณ์ของช่อง 11 ก็เริ่มเปลี่ยนแปลงไป มีการดึง ดร.สมเกียรติ อ่อนวิมล เข้ามาร่วมผลิตรายการ ส่งผลให้เกิดมีรายการสาระบันเทิงมาอยู่ในผังช่อง 11 เต็มไปหมด ตั้งแต่ซีรีย์ฝรั่ง ภาพยนตร์ไทยย้อนยุค กีฬาเด็ดๆ
       
       ในตอนนั้น ปิยะณัฐให้เหตุผลว่าของการเปลี่ยนแปลงว่าต้องการเห็นช่อง 11 ดูทันสมัยและมีคนดูมากขึ้น ขณะเดียวกัน เขายังมีแผนจะแยกช่อง 11 ออกจากกรมประชาสัมพันธ์ โดยให้มีหน่วยงานอิสระที่มีความคล่องตัวในการบริการและไม่ได้ทำงานตามระบบราชการเข้าดูแลแทน
       
       แต่ความคิดดังกล่าวได้รับการคัดค้านจากผู้บริหารของกรมประชาสัมพันธ์อย่างมาก เนื่องจากจะกลัวเสียสมบัติชิ้นนี้ไป หลังจากที่เคยเสียช่อง 9 ให้แก่ อสมท. ไปแล้ว ซึ่งสุดท้าย ปิยะณัฐก็แก้เกม ด้วยการตั้งบริษัทร่วมทุนกับรัฐ เพื่อรับผลิตรายการป้อนช่อง 11 แต่แผนการทั้งหมดก็หยุดชะงักไปเสียก่อน เนื่องจากเขาประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ ทำให้ไม่สามารถกลับมาทำงานได้ต่อไป
       
       จนกระทั่งมาถึงยุครัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร การเมืองก็เริ่มเข้ามาแทรกแซงสถานีโทรทัศน์ช่องนี้อย่างจริงจังและหนักหน่วงขึ้น มีการสั่งปิดปากสื่อมวลชน ไม่ให้พูดอะไรที่ขัดใจรัฐบาล เนื่องจากนายกฯ นักโทษนิยมการปกครองแบบลีกวนยู เพราะสามารถพัฒนาประเทศได้เร็ว แถมยังไม่ใครคอยมาตรวจสอบว่าทำอะไรไม่ดีไว้บ้าง ส่งผลให้ช่อง 11 ยุคนั้นไม่ต่างจากเมืองลับแล วันๆ เอาแต่เสนอข่าวรัฐบาลฝ่ายเดียว ถึงขนาดที่บางคนกล่าวว่า หากใครเปิดช่อง 11 แล้วเห็นพลพรรคฝ่ายค้านบนหน้าจอก็คงเป็นเรื่องแปลกพิลึกเลยทีเดียว
       
       และยุคที่ดูจะมีการแทรกแซงอย่างโจ๋งครึ่มมากที่สุด เห็นจะไม่พ้นยุครัฐบาลสมัคร สุนทรเวช ที่อุตส่าห์ส่งเจ้าแม่ใหญ่แห่งวงการ นปก. อย่างจักรภพ เพ็ญแข ซึ่งชอบอ้างเสียงประชาชนอยู่เสมอ ทั้งๆ ที่ผ่านมาก็ไม่เคยได้รับความไว้วางจากประชาชนให้เป็น ส.ส. เลยสักครั้ง มานั่งเก้าอี้เสนาบดี โดยเรื่องแรกที่จักรภพทำก็คือ การส่งช่อง 11 เข้าที่ว่าการอำเภอเปลี่ยนชื่อเสียงเรียงนามซะใหม่เป็น NBT หวังจะแข่งความเป็นอินเตอร์กับ Thai PBS โดยหารู้ไม่ว่าอีกไม่กี่วัน คู่แข่งจะหนีเปลี่ยนชื่อเป็นทีวีไทย เพราะต้องการอนุรักษ์ความเป็นไทย
       
       ขณะเดียวกันก็มีการเอารายการของคนใกล้ชิดมาลงผังเต็มไปหมด แต่ที่หน้าไม่อายที่สุดคงจะไม่พ้น การดึงเอาแก๊ง 3 เกลอหัวขวด เพื่อนรักจาก นปก. มาจัดรายการเชียร์ตัวเอง ทั้งๆ ที่ครั้งหนึ่งพวกนี้ก็เคยต่อว่า ดร.ธีรภัทร์ เสรีรังสรรค์ อย่างรุนแรงในฐานที่เอารายการยามเฝ้าแผ่นดินมาฉายช่อง 11 แต่ยังดีที่กฎแห่งกรรมนั้นมีจริง ส่งผลให้เจ้าแม่ นปก. นั่งเก้าอี้อยู่ได้ไม่นาน ก็กระเด็นจากตำแหน่ง ด้วยข้อหาหมิ่นเบื้องสูง
       
       พอมาถึงยุคประชาธิปัตย์ครองเมือง ทิศทางของช่อง 11 ก็ไม่ต่างจากเดิมเท่าใดนัก มีการล้างบางรายการฝ่ายตรงข้ามซะเกลี้ยง แม้แต่รายการพระเสื้อแดงตอนเช้าก็ยังไม่เว้น หรือรายการที่อยู่มานานถึง 13 ปีอย่าง ‘กรองสถานการณ์’ ก็หลุดผังง่ายๆ ส่วนรายการของพรรคฝ่ายค้าน ที่ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะเคยเรียกร้องเอาไว้สมัยเป็นผู้นำฝ่ายค้าน ป่านนี้ก็ยังไม่เกิดสักที เพราะฉะนั้นด้วยเหตุนี้กระมัง ทำให้หลายคนเริ่มคิดว่า คงถึงเวลาแล้วที่ต้องยกเครื่องช่อง 11 ใหม่จริงๆ เสียที
       
       ถึงเวลากำจัดการเมือง!!!
       
       หากพูดถึงปัญหาของช่อง 11 ที่ใหญ่ที่สุดที่ทุกคนมองเห็น ก็คงไม่พ้นการทำตัวเป็นทีวีการเมืองของช่อง 11 นั่นเอง เพราะบ่อยครั้งที่ช่อง 11 มักจะเอาใจฝ่ายบริหารอย่างออกหน้าออกตา ราวกับรัฐบาลเป็นเจ้าของสถานี โดยไม่สนใจว่าเงินเดือนที่หล่อเลี้ยงช่องอยู่นั้น แท้ที่จริงแล้วมาจากภาษีของประชาชน
       
       สำหรับเรื่องนี้ เฉลิมชัย ยอดมาลัย คอลัมนิสต์ของหนังสือพิมพ์แนวหน้า ซึ่งครั้งหนึ่งเคยได้รับเชิญให้ไปเป็นพิธีกรรายการ ‘ข่าวหน้าสี่’ ก่อนที่จะถูกเขี่ยออกเพื่อกรุยทางให้รายการเอียงข้างกระเท่เร่ อย่าง ‘ความจริงวันนี้’ เข้ามาแทน วิเคราะห์ว่า ปัญหานี้ถือเป็นเรื่องที่หมักหมมมานานแล้ว และยากที่จะแก้ไขได้ โดยส่วนตัวคิดว่าหากสามารถขจัดการแทรกแซงออกไปได้ ช่อง 11 จะน่าดูขึ้นกว่านี้มาก เพราะที่ผ่านมา รายการต่างๆ โดยเฉพาะรายการข่าวนั้นขาดความน่าเชื่อถืออย่างมาก ยิ่งบุคลากรเอง ตอนนี้แทบจะหาความเป็นมืออาชีพไม่เจอเลย เวลาฝั่งไหนเข้ามามีอำนาจ คนพวกนี้ก็จะเข้ามาประจบประแจง ทำรายการเชียร์กันอย่างโจ่งแจ้ง
       
       “ช่อง 11 ต้องเลิกความเชื่อสักทีว่าตัวเองเป็นทีวีของรัฐบาล เพราะจริงๆ ช่อง 11 เป็นทีวีของรัฐ ซึ่งรัฐเนี่ยมันเหมารวมประชาชนไปด้วย การที่เขาทำตัวแบบนี้มันไม่ถูก อย่างนี้อย่าเรียกตัวเองเป็นสื่อดีกว่า เปลี่ยนเป็นกระทรวงพีอาร์น่าจะเหมาะกว่า แล้วสิ่งที่ช่อง 11 ควรทำตอนนี้มากที่สุดก็คือการเสนอข่าวอย่างเป็นกลาง โดยไม่ต้องไปสนใจว่าจะเป็นฝ่ายค้านหรือรัฐบาล ไม่ใช่เลือกทำข่าวแต่คนเป็นรัฐบาลอย่างเดียว”
       
       เฉลิมชัยกล่าวต่ออีกว่า การปฏิรูปที่น่าจะได้ผลที่สุดก็คือ คนที่มาเป็นรัฐบาลต้องหัดทำตัวให้มีธรรมาภิบาล เพราะต้องยอมรับอย่างหนึ่งว่า ตราบใดที่สถานีโทรทัศน์แห่งนี้ ยังต้องอาศัยพึ่งพิงเงินอุดหนุนจากรัฐอยู่ ถึงจะแยกตัวเป็นอิสระจากกรมประชาสัมพันธ์แล้วก็ตาม แต่ก็คงจะสลัดอิทธิพลของรัฐบาลได้ลำบาก หรือไม่ก็ทำให้ช่อง 11 หลุดจากความเป็นราชการไปเลย โดยอาจจะให้เอกชนมาบริหารเลยก็ได้ แต่ต้องมีข้อแม้ว่า หากจะให้ก็ต้องทำอย่างโปร่งใส โดยที่รัฐไม่เสียเปรียบ และได้ประโยชน์คุ้มค่า โดยอาจจะมีประมูลอย่างเปิดเผย ไม่ใช่แอบให้แก่พวกเดียวกันอย่างที่เคยเกิดขึ้นในอดีต
       
       ขณะที่ ธาม เชื้อสถาปนศิริ ผู้จัดการกลุ่มงานวิชาการ โครงการศึกษาและเฝ้าระวังสื่อเพื่อสุขภาวะของสังคม กล่าวในทำนองเดียวกับเฉลิมชัยว่าช่อง 11 นั้นถูกการเมืองแทรกมากเกินไป
       
       “จุดเด่นของช่อง 11 น่าจะอยู่ที่เนื้อหาของรายการซึ่งมีสาระความรู้ แล้วเขาก็เป็นไม่กี่ช่องที่มีเนื้อหารายการแบบ Hard Content หรือสารคดีเชิงข่าว แต่ถ้ามองในเรื่องจุดด้อย ก็คงเป็นเรื่องผู้ชมน้อย มีแค่ 2.5 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งเป็นเรื่องปกติ เพราะคนดูส่วนใหญ่ ชอบดูรายการบันเทิงมากกว่า ขณะเดียวกันระบบการบริหารราชการและการแทรกแซงจากรัฐก็ยังสูงอยู่ ถ้าตัดขาดตรงนี้ได้ ผมมองว่าช่อง 11 ก็สามารถทัดเทียมกับช่องอื่นได้ โดยไม่ต้องปรับเปลี่ยนตัวเองเป็นเชิงพาณิชย์”
       
       เปิดแผนปฏิรูปช่อง 11
       
       หลังจากมีเสียงเรียกร้องกันมานาน ในที่สุด สาทิตย์ วงศ์หนองเตย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ก็ยอมแต่งตั้ง ‘คณะกรรมการศึกษาแนวทางการปฏิรูปสื่อภาครัฐ’ ขึ้นเพื่อปฏิรูปช่อง 11 อย่างจริงจัง เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา โดยมี ดร.วรากรณ์ สามโกเศศ อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ มาเป็นประธาน
       
       รศ.ดร.วิลาสินี อดุลยานนท์ ผู้อำนวยการสำนักรณรงค์สื่อสารสาธารณะเพื่อสังคม สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ ในฐานะของโฆษกคณะกรรมการฯ เปิดเผยแนวทางการปฏิรูปช่อง 11 ว่า เรื่องแรกที่จะทำก่อนเลย ก็คือการแยกช่อง 11 ให้เป็นอิสระ โดยในช่วงแรกจะออกเป็นพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งเป็นองค์การมหาชนก่อน และภายใน 3 ปี ก็จะพยายามผลักดันให้เป็นองค์กรนี้มีพระราชบัญญัติรองรับ เพื่อความมั่นคงของหน่วยงาน ขณะเดียวกันก็จะมีการเพิ่มงบประมาณเป็น 660 ล้านบาทต่อปีด้วย
       
       “ด้วยความที่ช่อง 11 นั้นใกล้ชิดกับหน่วยงานราชการมากเกินไป ทำให้ช่อง 11 นั้นอ่อนไหวและถูกแทรกแซงได้ง่าย ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลเอง หรือหน่วยราชการอื่นๆ ที่เป็นสปอนเซอร์ของช่อง ขณะเดียวกันการที่อยู่ภายใต้กรมประชาสัมพันธ์ก็ทำให้ช่อง 11 ได้รับงบประมาณไม่เพียงพอ ถือเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนา คือถึงโต ก็โตได้ไม่เต็มที่
       
       “ที่ผ่านมาเรื่องนี้ถือเป็นปัญหาที่ทุกคนทราบ แม้แต่คนทำงานในช่อง 11 เองก็ยังพูดเลยว่าอยากเห็นช่อง 11 มีคุณภาพ และเติบโตกว่านี้ ที่สำคัญเขาอยากจะแสดงออกให้ทุกคนได้เห็นว่าอย่างน้อยฉันก็มีความเป็นมืออาชีพเหมือนกัน ไม่ใช่พอทำข่าวมาเสร็จแล้วออกไม่ได้ เพราะฉะนั้นพอเรามาเสนอรูปแบบองค์การมหาชนที่มีความเป็นอิสระให้บุคลากรในช่อง 11 ปรากฏว่า 95 เปอร์เซ็นต์เห็นด้วยกับเรา”
       
       รศ.ดร.วิลาสินี อธิบายต่อถึงข้อดีของการจัดตั้งเป็นองค์การมหาชนว่า อย่างแรกเลยก็คือมีความคล่องตัวในการบริหารงานสูงกว่า ขณะเดียวกันการที่ไม่ได้อยู่ภายใต้กรมประชาสัมพันธ์ ก็ทำให้การแทรกแซงทำได้ลำบากขึ้น จากเดิมที่แค่เล่นงานหรือสั่งการอธิบดีคนเดียวก็เรียบร้อยแล้ว แต่รูปแบบใหม่นั้นเป็นคณะกรรมการ เพราะฉะนั้นเวลาจะทำก็ต้องผ่านการประชุมก่อน
       
       ขณะเดียวกันในรูปแบบของช่อง 11 นั้นก็จะเน้นที่พันธกิจ 3 ด้าน คือเพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ โดยส่วนนี้ขยายมาจากพันธกิจเดิมของช่อง 11 ที่เน้นการศึกษา อย่างที่ 2 คือเพื่อบริการข้อมูลข่าวสารภาครัฐ โดยจะเน้นข่าวสารของภาคราชการที่มีประโยชน์ต่อประชาชน เช่น นโยบายของรัฐ การประชุมของกรรมาธิการในรัฐสภา การสัมมนา และส่วนสุดท้ายก็คือเพื่อพัฒนาประชาธิปไตย โดยช่อง 11 ใหม่นี้ จะมีการจัดสัดส่วนในการให้พื้นที่แก่รัฐบาลและฝ่ายค้านเท่าๆ กัน เพื่อที่ประชาชนจะได้รับข้อมูลอย่างรอบด้าน
       
       ส่วนที่มาของคณะกรรมการที่จะมาบริหารช่อง 11 รศ.ดร.วิลาสินีกล่าวว่า พยายามจัดให้มีความหลากหลายมากที่สุด โดยแบ่งคณะกรรมการออกเป็น 2 ส่วนคือที่มาโดยตำแหน่ง 3 คน คืออธิบดีกรมประชาสัมพันธ์ เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน และผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ ส่วนที่ 2 คือผู้ทรงคุณวุฒิ 6 คนซึ่งได้รับการสรรหามาจากองค์กรต่างๆ อย่างสภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติ สภาพัฒนาการเมือง ตัวแทนจากที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทย สหพันธ์องค์กรผู้บริโภค คณะกรรมการสิทธิมนุษยชน และสภาทนายความ โดยเชื่อว่าเมื่อได้คณะกรรมการเรียบร้อยแล้ว การทำงานช่อง 11 จะดีขึ้นแน่นอน เพราะคณะกรรมการต้องรายงานผลการทำงานต่อรัฐสภา คณะรัฐมนตรี และสาธารณชนเป็นรอบด้วย และที่สำคัญยังได้กำหนดให้มีการตั้งคณะอนุกรรมการรับเรื่องร้องเรียน เพื่อให้ประชาชนมีส่วนร่วมมากขึ้นด้วย
       
       เปลี่ยนแปลงแบบไหนดี?
       
       เมื่อช่อง 11 จะเปลี่ยนแปลงกับเขาสักที หลายคนก็คงวาดภาพความหวังที่แตกต่างกันไป บางคนก็อาจจะอยากให้ช่อง 11 กลายเป็นช่องบันเทิงแข่งกับช่อง 3 ช่อง 7 ไปเลย ขณะที่หลายๆ คนมองว่าน่าจะทำแบบทีวีไทย ในโอกาสนี้ เราจะมามองว่าคนในวงการสื่อเขาคาดหวังจะเห็นอะไรในช่อง 11 ใหม่กันบ้าง
       
       เริ่มต้นที่ ‘ก้อย’ - รัชวิน วงศ์วิริยะ ดารานักแสดงสาวชื่อดัง ซึ่งปกติแล้วไม่ค่อยได้ดูช่อง 11 เพราะรู้สึกว่ารายการของช่องนี้ไม่ค่อยตรงกับความสนใจของตัวเอง หลายรายการก็ดูเป็นรายการของผู้ใหญ่ หรือไม่ก็เป็นรายการที่สาระมากๆ เกินไป ซึ่งบางครั้งในแง่ของคนดูทีวีส่วนใหญ่ก็คงอยากดูรายการที่ผ่อนคลายบ้าง
       ขณะเดียวกันที่ผ่านมา ก็แทบไม่รู้เลยว่าในช่อง 11 นั้นมีรายการอะไรที่น่าสนใจบ้าง เพราะไม่มีการโฆษณาเลย ผิดกับช่องอื่นๆ ที่การประชาสัมพันธ์รายการเด่นๆ ล่วงหน้ากันเป็นอาทิตย์ๆ
       
       “สิ่งที่ก้อยอยากให้ช่อง 11 ปรับมากที่สุดก็คือความหลากหลายของรายการ คือก้อยอยากให้มีรายการที่เป็นสาระบันเทิงบ้าง อีกเรื่องหนึ่งก็คือภาพลักษณ์ ทุกวันก้อยยังติดภาพว่าช่อง 11 เป็นทีวีเพื่อการศึกษา คือพอเปิดก็ต้องคิดเลยว่าต้องเจอรายการหนักๆ แน่ จริงๆ ถ้าช่อง 11 เพิ่มรายการที่มีทั้งสาระและบันเทิงก็คงจะน่าดูขึ้นกว่านี้ เช่นอาจจะมีรายการแบบให้เด็กวัยรุ่นมาแข่งใช้ความครีเอทีฟกัน เพื่อเพิ่มกลุ่มผู้ชมที่เป็นวัยรุ่น อีกเรื่องหนึ่งที่อยากจะให้ปรับก็คือภาพและโปรดักชันของรายการ อยากให้ดูทันสมัยอีกนิด คนดูจะได้รู้สึกอยากดูมากขึ้น”
       
       ส่วนเฉลิมชัย มองว่า สิ่งที่ช่อง 11 ควรทำมากที่สุด ก็คือกำหนดทิศทางของตัวเองให้ชัดเจน ว่าต้องการจะเป็นช่องอะไรกันแน่ เช่นจะเป็นช่องการศึกษา ช่องกีฬา หรือช่องประชาสัมพันธ์งานของภาครัฐ นอกจากนี้ก็ควรจะแบ่งสัดส่วนรายการให้ชัดเจนไปเลย ไม่ใช่มาทำมั่วๆ แบบที่เป็นอยู่
       
       “เรื่องที่ผมอยากเห็นว่าจะเกิดขึ้นในช่อง 11 มากที่สุดก็คือ ความเป็นมืออาชีพของคนทำงาน แล้วเวลาทำสื่อคุณต้องไม่ขี้ขลาด อย่าหน้าด้าน และทำตัวเป็นอีแอบ ถ้าทำไม่ได้ก็ไปเป็นพีอาร์แทนแล้วกัน”
       
       ขณะที่ธาม มองว่าจริงๆ แล้วบทบาทการเป็นสถานีโทรทัศน์ของรัฐ นั่นเหมาะกับช่อง 11 อยู่แล้ว
       
       “จริงๆ แล้วช่อง 11 ไม่จำเป็นต้องปรับตัวเพื่อให้มีคนดูเพิ่มขึ้น นั่นไม่ใช่หน้าที่หลักของช่อง 11 ผมมองว่าหน้าที่ของช่องนี้ก็คือการสื่อสารจากรัฐถึงประชาชน การที่เอาข้อมูลจำนวนคนดูมาวัด ถือเป็นความผิดพลาด จริงๆ แล้วช่อง 11 ควรวัดความสำเร็จของช่อง จากจำนวนประชาชนที่รับรู้ข้อมูลข่าวสาร ความเข้าใจในนโยบายของรัฐ อย่างเรื่องหวัด 2009 ผมว่าช่อง 11 น่าจะเป็นตัวให้ความรู้แก่ประชาชนได้ดีที่สุด”
       
       ว่ากันว่าการจะปรับเปลี่ยนอะไรสักอย่างนั้นเป็นเรื่องยาก ยิ่งของมีผลประโยชน์เยอะแยะ อย่างช่อง 11 ด้วยแล้ว ก็คงยิ่งยากเข้าไปใหญ่ ถึงเวลาแผนปฏิรูปนั้นได้ผ่านมติคณะรัฐมนตรีเรียบร้อย สิ่งที่ประชาชนอย่างเราๆ ทำได้ตอนนี้ก็คือ ‘รอ’ ว่าถึงที่สุดแล้วการปฏิรูปช่อง 11 ที่รัฐบาลพูดไว้จะเกิดขึ้นจริงๆ หรือไม่ หรือนี่จะเป็นเพียงแค่ประติมากรรมน้ำลายของรัฐบาลโอบามาร์คอีกชิ้นก็เท่านั้น
       ******************************
       เรื่อง : สุทธิโชค จรรยาอังกูร
       ภาพ : ทีมภาพคลิก

http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9520000085425


--
ขอเชิญอ่าน blog.Thank you so much.
http://www.parent-youth.net
http://www.familynetwork.or.th
http://www.tzuchithailand.org
http://www.presscouncil.or.th
http://ilaw.or.th
http://thainetizen.org
http://www.ictforall.org
http://icann-ncuc.ning.com
http://dbd-52.hi5.com
http://www.webmaster.or.th
http://www.thailandshowtime.com/2009